โรคบรูเซลโลซิส (Brucellosis)

สัตวแพทย์หญิงมนยา เอกทัตร์
ผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยโรคสัตว์เล็กและสัตว์ใหญ่ สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ (2554)

โรคบรูเซลโลซิสหรือที่เกษตรกรนิยมเรียกว่า "โรคแท้ง" "โรคแท้งติดติดต่อ" เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่สำคัญของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น โค กระบือ สุกร แพะ ม้า สุนัข เป็นต้น และติดต่อสู่คนได้ ลักษณะที่ควรสังเกตของโรคนี้ คือ สัตว์จะแท้งลูกในช่วงท้ายของการตั้งท้อง และอัตราการผสมติดในฝูงจะต่ำ

สาเหตุและการแพร่ของโรค
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ บรูเซลล่า (ฺBrucella spp.) พบมีการแพร่ระบาดในทุกประเทศของโลก โดยเฉพาะโคนม ยังมีความสำคัญในด้านสุขภาพอนามัยของมนุษย์ด้วย เนื่องจากโรคนี้สามารถติดต่อถึงคนได้เรียกว่า อันดูแลนท์ ฟีเวอร์ (Undulant fever) พบว่าโคทุกอายุสามารถติดเชื้อนี้ได้แต่ในโคสาวแม่โค โคตั้งท้องและโคเพศผู้ที่โตเต็มวัย สามารถติดเชื้อนี้ได้ง่ายกว่าลูกโค โคส่วนมากจะติดเชื้อ โดยการกินอาหาร น้ำที่มีเชื้อปะปน ซึ่งเชื้อนี้จะออกมากับน้ำปัสสาวะ น้ำนม น้ำคร่ำ ของโคที่เป็นโรค หรืออาจติดเชื้อได้โดยการสัมผัสโดยตรงเชื้อเข้าทางผิวหนัง เยื่อชุ่ม โดยการหายใจ การผสมพันธุ์โดยวิธีธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นได้น้อยมาก

อาการ

แม่โคจะแท้งลูกในระยะตั้งท้องได้ 5-8 เดือน จะมีรกค้างและมดลูกอักเสบตามมาเสมอ การแท้งมักจะเกิดขึ้นในการตั้งท้องแรกเท่านั้น หลังจากนั้นอาจไม่แท้ง แต่จะเป็นตัวอมโรคแพร่ไปยังโคตัวอื่นๆ ได้ หรือลูกโคที่คลอดออกมาจะอ่อนแอไม่แข็งแรงหรืออาจเป็นหมัน การผสมติดในฝูงต่ำ โคเพศผู้ลูกอัณฑะจะบวมโตข้างใดข้างหนึ่งและเป็นหมัน อาจพบข้ออักเสบร่วมด้วย
ในคนจะมีอาการหนาวสั่นไข้ขึ้นๆ ลงๆ มีเหงื่อออกมากในเวลากลางคืนจะปวดเมื่อยตามข้อและตามกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตัวเหลืองซีด

การตรวจวินิจฉัย

การตรวจทางซีรั่มวิทยา
เจาะเลือดโคตัวละประมาณ 5 ซีซี. แยกเก็บน้ำเหลือง (ซีรั่ม) ถ้าไม่สามารถส่งได้ภายในวันนั้นจะต้องเก็บซีรั่มแช่แข็งไว้ ซีรั่มควรส่งไม่น้อยกว่าตัวละ 1 ซี.ซี.
การตรวจทางซีรั่มวิทยาในห้องปฏิบัติการมี 4 วิธีคือ
1. การตรวจด้วยวิธี โรส เบงกอล เทสต์ (Rose Bengal test) โดยใช้ซีรั่ม 1 หยด และน้ำยาตรวจ 1 หยด คนให้เข้ากัน ถ้ามีตะกอนเกิดขึ้นถือว่าเป็นโรค
2. ตรวจด้วยวิธีทิว แอกกลูติเนชั่น เทสต์ (Tube Agglutination test) โคที่ฉีดวัคซีนหลังจากฉีดวัคซีนแล้ว 10 เดือน ถ้าให้ผลบวกตั้งแต่ 1:200 ให้ถือว่าเป็นโรค ส่วนโคที่ไม่ฉีดวัคซีนถ้าให้ผลบวกที่ 1:100 ขึ้นไปถือว่าเป็นโรค
3. วิธีคอมพลีเมนต์ ฟิกเซชั่น เทสต์ Complement fixation test) เป็นวิธีการตรวจเพื่อยืนยันผลอีกขั้นหนึ่ง สำหรับในโคที่เป็นโรคเรื้อรัง
4. วิธีอีไลซ่า (ELISA)

การตรวจเพาะหาเชื้อแบคทีเรีย

กรณีที่สัตว์แท้งลูกควรเก็บลูกที่แท้งรวมทั้งรก น้ำนมหรือถ้าโคคลอดปกติก็ควรจะเก็บส่วนรก ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยนำรกและชิ้นส่วนอื่นแช่น้ำแข็ง หรือหากส่งห้องปฏิบัติการไม่ทันในวันที่เห็นอาการ ควรจะเก็บเนื้อเยื่อต่างๆ เหล่านี้โดยการแช่แข็ง แล้วจึงนำส่งตรวจ

การรักษา

ไม่แนะนำให้รักษาเนื่องจากไม่ให้ผลดีเท่าที่ควร

การควบคุมและป้องกัน

1. ควรตรวจโรคทุกๆ 6 เดือน ในฝูงโคที่ยังไม่ปลอดโรคและทุกปีในฝูงโคที่ปลอดโรค
2. สัตว์ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคควรจะแยกออกจากฝูง
3. คอกสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้ ต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาด แล้วทิ้งร้างไว้อย่างน้อย 1 เดือน ก่อนนำสัตว์ใหม่เข้าคอก
4. ทำลายลูกที่แท้ง รก น้ำคร่ำ โดยการฝังหรือเผา แล้วทำความสะอาดพื้นที่นั้นด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
5. กำจัด นก หนู แมลง สุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นซึ่งเป็นตัวแพร่โรคออกไป
6. สัตว์ที่นำมาเลี้ยงใหม่ ต้องปลอดจากโรคนี้ก่อนนำเข้าคอก
7. โคพ่อพันธุ์ที่ใช้ต้องไม่เป็นโรคนี้
8. ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ในโค กระบือ เพศเมีย อายุ 3 - 8 เดือน ซึ่งจะทำให้มีภูมิคุ้มกันโรคได้นานถึง 6 ปี


โรคบรูเซลโลซิสในคน (Undulant fever, Malta fever, Mediterranean fever)

ลักษณะโรค

โรคบรูเซลโลซิสเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียในอวัยวะต่างๆของร่างกาย (Systemic) โดยจะทำให้เกิดอาการเฉียบพลันหรือค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆ มีอาการเฉพาะคือ มีไข้เป็นระยะๆ เป็นเวลานาน หรือเป็นๆ หายๆ ไม่แน่นอน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก หนาวสั่น ปวดข้อ มึนซึม น้ำหนักลด และปวดตามร่างกายทั่วๆ ไป อาจพบการอักเสบเป็นหนองที่ตับและตับอ่อน มีรายงานการติดเชื้อที่แสดงอาการแบบอ่อนๆ และการติดเชื้อเรื้อรังที่อวัยวะบางแห่งด้วย ระยะเวลาป่วยอาจนานหลายวัน หลายเดือน หรือบางครั้งอาจเป็นปีหรือนานกว่า ถ้าได้รับการรักษาไม่เพียงพอ

อาการแทรกซ้อนที่กระดูกและข้อพบได้ร้อยละ 20 - 60 ของผู้ป่วย อาการที่ข้อที่พบได้บ่อยที่สุด คือการอักเสบที่กระดูก sacrum และ ilium บริเวณเชิงกราน (sacroiliitis) อาการที่ระบบสืบพันธุ์และระบบขับถ่ายปัสสาวะมีรายงานร้อยละ 2 - 20 โดยมักพบการอักเสบที่อัณฑะและท่อนำเชื้อ (orchitis และ epididymitis) ปกติผู้ป่วยที่หายป่วยแล้วมักมีร่องรอยโรคหลงเหลืออยู่ อัตราป่วยตายในรายที่ไม่ได้รับการรักษาน้อยกว่า หรือเท่ากับร้อยละ 2 และมักจะเนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ในรายที่ติดเชื้อ Brucella melitensis อาการป่วยต่างๆ บางอย่างหรือทั้งหมดอาจกลับเป็นซ้ำขึ้นมาอีก ผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบประสาท (neurotic symptoms complex) บางราย อาจถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคบรูเซลโลซิส เรื้อรัง ในทางกลับกันผู้ป่วยที่ติดเชื้อนี้อาจถูกวินิจฉัยเป็นโรคของระบบประสาทก็ได้

การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการทำโดยการแยกเชื้อจากเลือด ไขกระดูกหรือเนื้อเยื่ออื่นๆ หรือจากสารคัดหลั่งต่าง ๆ ของผู้ป่วย การตรวจทางน้ำเหลืองในห้องปฏิบัติการที่มีความชำนาญจะมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะกรณีที่พบระดับแอนติบอดีสูงขึ้นในการตรวจเลือดสองครั้ง (paired serum) การอ่านผลทางน้ำเหลืองในรายที่เป็นแบบ "เรื้อรัง" หรือรายที่กลับมาเป็นใหม่เป็นสิ่งที่ยุ่งยากมาก เนื่องจากระดับ titer มักจะต่ำ วิธีการทดสอบวัดระดับแอนติบอดีชนิด IgG อาจจะเป็นประโยชน์โดยเฉพาะในรายที่เป็นเรื้อรัง แต่ถ้ามีการติดเชื้อใหม่อีกจะพบว่ามีระดับแอนติบอดีเพิ่มขึ้น การตรวจหาแอนติบอดีต่อ B. canis ต้องใช้วิธีการตรวจโดยเฉพาะเนื่องจากเชื้อ B. canis นี้ไม่มีปฏิกิริยากับเชื้อชนิดอื่น

เชื้อก่อโรค
โรคบรูเซลโลซิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรียรูปร่างเป็นแท่งกลม (Coccobacilli) ติดสีแกรมลบ (สีชมพู) ไม่สร้างสปอร์ เคลื่อนไหวไม่ได้ (Non-motile) เชื้อ Brucella ที่พบในปัจจุบันมี 4 species คือ

I. Brucella abortus (Biovar 1 - 6 และ 9) มักพบในโค กระบือ
II. Brucella melitensis (Biovar 1 - 3) พบในแพะ แกะ
III. Brucella suis (Biovar 1 - 5) พบในสุกร
IV. Brucella canis พบในสุนัข

เชื้อ Brucella ถูกทำลายด้วยความร้อนที่ 60 oC ในเวลา 10 นาที, 1% Phenol นาน 15 นาที ถ้าถูกแสงแดดโดยตรงจะอยู่ได้เพียง 2 - 3 ชั่วโมง อยู่ในปัสสาวะ อุจจาระสัตว์ที่เปียกชื้นในธรรมชาตินานตั้งแต่ 1 สัปดาห์ถึง 1-2 เดือน

ระบาดวิทยา
พบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนของทวีปยุโรป แอฟริกาเหนือ และแอฟริกาตะวันออก ประเทศในแถบตะวันออกกลาง อินเดีย เอเซียกลาง เม็กซิโก อเมริกากลาง และใต้ แหล่งโรคและชนิดของเชื้อสาเหตุ แตกต่างกันตามสภาพภูมิประเทศของแต่ละพื้นที่ และมักพบว่าเป็นโรคจากการประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ โดยเฉพาะคนงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ สัตวแพทย์และคนงานโรงฆ่าสัตว์ ดังนั้น จึงพบในเพศชายได้บ่อยกว่าเพศหญิง บางครั้งอาจเกิดผู้ป่วยแบบประปราย หรือเป็นการระบาดในกลุ่มผู้ที่บริโภคนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมดิบๆ จากโค แพะและแกะ (ที่พบบ่อยคือเนยแข็งที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์) เคยมีการแยกเชื้อ B. canis ได้จากผู้ป่วยที่มีอาชีพเลี้ยงสุนัข ขณะนี้อุบัติการณ์ของโรคบรูเซลโลซิส ในสหรัฐอเมริกามีรายงานน้อยกว่า 120 รายต่อปี ในพื้นที่อื่นๆ โรคนี้มักไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือไม่ได้รายงาน

แหล่งรังโรค
โค กระบือ สุกร แพะ แกะ อาจพบในกระทิงไบซัน กวางเอลค์ กวางคาริบู และกวางชนิดอื่นๆ สำหรับ B.canis พบในสุนัขเลี้ยงทั่ว ๆ ไป สุนัขทดลอง และสุนัขในฟาร์ม และพบว่าสุนัขจรจัดจะมีระดับแอนดิบอดีต่อ B.canis ในสัดส่วนที่สูงกว่าสุนัขเลี้ยง และมีรายงานการติดเชื้อนี้ในสุนัขป่า coyotes ด้วย

วิธีการแพร่โรค
โดยการสัมผัสโดยตรงกับเนื้อเยื่อ เลือด ปัสสาวะ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด ลูกสัตว์ที่แท้งออกมา (โดยเฉพาะรก) โดยเชื้อจะเข้าทางผิวหนังที่มีแผลหรือรอยขีดข่วน และการติดต่ออาจเกิดโดยการดื่มน้ำนมดิบจากสัตว์ที่ติดเชื้อ และผลิตภัณฑ์นมดิบ เช่น เนยแข็งที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์ การติดต่อโดยการหายใจเกิดขึ้นได้ทั้งในสัตว์ (ที่เลี้ยงรวมในคอกหรือเล้า) และในคนที่ทำงานในห้องปฏิบัติการและในโรงฆ่าสัตว์ มีผู้ป่วยบางรายติดเชื้อโดยบังเอิญจากการทำงานเกี่ยวข้องกับวัคซีนที่ผลิตจากเชื้อ Brucella สายพันธุ์ 19 และวัคซีน Rev-1

ะยะฟักตัวของโรค
แปรปรวนมากและยากที่จะบอกระยะเวลาที่แน่นอนได้ แต่โดยปกติจะอยู่ในช่วง 5 - 60 วัน ส่วนใหญ่กินเวลาประมาณ 1 - 2 เดือน น้อยรายที่นานหลายเดือน

การรักษา
วิธีที่ดีที่สุดคือการให้ยาปฏิชีวนะร่วมกัน โดยเลือกใช้ rifampin (RIF) 600 - 900 มก. ต่อวัน หรืออาจใช้ streptomycin ร่วมกับการให้ doxycycline 200 มก. ต่อวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 6 สัปดาห์ ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงการให้ corticosteroids อาจจะเป็นประโยชน์ ไม่ควรใช้ tetracycline ในเด็กอายุน้อยกว่า 7 ปี เพื่อป้องกันปัญหาการติดสีที่ฟัน (tooth staining) การใช้ cotrimoxazole พบว่าได้ผล แต่มักมีการกลับเป็นซ้ำได้มากถึงร้อยละ 30 แต่จะพบเพียงร้อยละ 5 ถ้าใช้ doxycycline ร่วมกับ rifampin ซึ่งเป็นผลมาจากการฆ่าเชื้อได้ไม่หมดมากกว่าเชื้อดื้อยา กรณีนี้ควรให้การรักษาต่อด้วยสูตรเดิมอาการข้ออักเสบอาจเกิดขึ้นในกรณีที่มีอาการกลับมาป่วยซ้ำ

การติดต่อของโรคไปยังคนด้วยกัน
ไม่มีหลักฐานการติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้

ความไวและความต้านทานต่อการรับเชื้อ
ความรุนแรงและระยะเวลาที่แสดงอาการจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ระยะเวลาที่ภูมิคุ้มกันคงอยู่ก็ไม่แน่นอน

วิธีการป้องกันควบคุมโรค
การหวังผลการควบคุมโรคบรูเซลโลซิสในคนเป็นไปได้ยาก จำเป็นต้องอาศัยการกำจัดโรค (elimination of the disease) ในสัตว์เลี้ยงให้หมดสิ้นเท่านั้นก. มาตรการป้องกันโรค
1. ให้สุขศึกษาแก่ประชาชน (โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว) เพื่อไม่ให้ดื่มนมหรือกินผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อโดยการพาสเจอร์ไรซ์ การต้ม หรือการทำให้สุกด้วยความร้อนวิธีอื่นๆ
2. ให้ความรู้แก่เกษตรกร คนงานในฟาร์ม โรงฆ่าสัตว์ โรงงานชำแหละเนื้อ และผู้จำหน่ายตามเขียงเนื้อ เกี่ยวกับธรรมชาติของโรค และความเสี่ยงต่อการจับต้องซากสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่มีโอกาสติดเชื้อและมาตรการต่างๆ ที่จะลดความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ (โดยเฉพาะการจัดระบบถ่ายเทอากาศในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ให้เหมาะสม)
3. ตรวจสอบการติดเชื้อในฝูงปศุสัตว์ โดยใช้วิธีทางซีโรโลยีและวิธี ELISA หรือการใช้ ring test ในน้ำนมโค กำจัดสัตว์ที่ติดโรคโดยการคัดแยกและฆ่า กรณีตรวจพบการติดเชื้อในสุกรมักจำเป็นต้องส่งโรงฆ่าทั้งฝูง ในพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อสูงควรมีการให้วัคซีนแก่สัตว์ โดยในลูกแพะและแกะควรใช้ live attenuated Rev-1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์หนึ่งของ B. melitensis และในลูกโค (บางครั้งอาจฉีดให้แก่โคที่โตแล้ว) ใช้วัคซีนที่ผลิตจากเชื้อ B. abortus สายพันธุ์ 19
4. แม้ยังไม่มีการศึกษาทางคลินิกทีจะพิสูจน์ประสิทธิผลของยาปฏิชีวนะในการป้องกันโรค กรณีถูกเข็มวัคซีนฉีดเข้าโดยบังเอิญ (ทั้งวัคซีน Rev-1 และวัคซีน Strain 19) แต่ในขณะนี้ก็แนะนำให้กิน doxycycline 10 มก. วันละ 2 ครั้ง ควบคู่ไปกับการกิน rifampin 600 - 900 มก. วันละครั้งติดต่อกัน 21 วัน และถ้าวัคซีนบังเอิญเข้าตาควรกินยาป้องกันนาน 4 - 6 สัปดาห์
5. นมจากโค แกะและแพะ จะต้องผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ก่อนการบริโภค ถ้าทำไม่ได้การต้มก็ฆ่าเชื้อได้เช่นกัน
6. ใช้มาตรการป้องกันการสัมผัสโดยตรงกับเชื้อ เช่น การใช้ถุงมือยางและการล้างมือภายหลังการจับต้องรก สารคัดหลั่งและลูกสัตว์ที่แท้ง รวมทั้งการฆ่าเชื้อบริเวณที่ปนเปื้อนสิ่งเหล่านี้ข. การควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัสและสิ่งแวดล้อม
1. การรายงานโรค: โรคนี้ถือเป็นโรคที่ต้องรายงานในหลายมลรัฐของเมริกาและหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย
2. การแยกผู้ป่วย: ไม่จำเป็น ยกเว้นต้องระวังป้องกันการสัมผัสเชื้อจากหนองและน้ำเหลืองของผู้ป่วย
3. การทำลายเชื้อ: ต้องทำลายหนองและน้ำเหลืองของผู้ป่วย
4. การกักกัน: ไม่จำเป็น
5. การให้ภูมิคุ้มกันแก่ผู้สัมผัส: ขณะนี้ยังไม่มีใช้ในประเทศไทย
6. การสอบสวนผู้สัมผัสและแหล่งโรค: สอบสวนกลับไปหาแหล่งของการติดเชื้อ อาจเป็นแหล่งโรคร่วม (common source) หรือแหล่งโรคเฉพาะราย (individual source) ซึ่งมักพบว่าเป็นสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น แพะ สุกร โค น้ำนมดิบ ผลิตภัณฑ์จากนมแพะหรือนมโค ซึ่งต้องเก็บตัวอย่างเลือด หรือน้ำนม จากสัตว์ส่งตรวจ หากพบตัวใดให้ผลบวก (reactors) ก็ต้องแยกออกและส่งโรงฆ่า

ค. มาตรการเมื่อเกิดการระบาด:
สอบสวนหาแหล่งโรคร่วมที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ ซึ่งโดยปกติมักเป็นน้ำนมดิบและผลิตภัณฑ์นม โดยเฉพาะเนยแข็งจากฝูงปศุสัตว์ที่ติดเชื้อ ติดตามเก็บผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนเชื้อที่วางจำหน่วย หรือหลงเหลืออยู่ตามบ้านผู้ซื้อ แล้วสั่งหยุดการผลิตและการจำหน่ายจนกว่าผู้ผลิตจะเริ่มกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ได้สำเร็จ

ง. ความเสียหายที่อาจจะเกิด:
เกษตรกรจะสูญเสียรายได้จากการที่สัตว์ผสมไม่ติด หรือลูกสัตว์ตายตอนคลอด หรือคลอดแล้วอยู่ได้ไม่นาน (ไม่ได้ลูกสัตว์ในฝูงเพิ่ม และตัวแม่ก็จะไม่มีน้ำนมให้รีดถ้าไม่มีลูกดูดนม) ซึ่งจะเป็นอยู่เฉพาะในการตั้งท้อง 2-3 ครั้ง หลังจากรับเชื้อเท่านั้น ต่อไปก็จะตั้งท้องและเลี้ยงลูกได้ตามปกติ เกษตรกร หรือผู้เกี่ยวข้องที่ได้รับเชื้อต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล หรือขาดรายได้จากแรงงานที่ควรจะได้ระหว่างเจ็บป่วย

จ. มาตรการควบคุมโรคระหว่างประเทศ:
ดำเนินมาตรการควบคุมโรคในสัตว์ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในการค้าและขนส่งระหว่างประเทศและให้ความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก

โรคบรูเซลโลซิสในคนและสัตว์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเชื้อ B.melitensis ซึ่งก่อโรคในคนมากกว่าเชื้อตัวอื่น ถือว่ามีความสำคัญในแง่สาธารณสุขมากที่สุด ปกติเชื้อนี้ก่อปัญหาในแพะและแกะ เท่านั้น ดังนั้นการที่เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าเชื้อนี้สามารถทำให้เกิดโรคในโคนมได้ด้วย จึงถือเป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่ง ปัญหาเช่นเดียวกันนี้คือ มีรายงานพบเชื้อ B.suis ในแพะแกะด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วเชื้อนี้มักจะทำให้เกิดโรคในสุกรและในโคเท่านั้น

ที่มา :
ทัศนีย์ ชมภูจันทร์, มนัสนันนท์ ประสิทธิรัตน์ และมนยา เอกทัตร์ (บรรณาธิการ). 2539. คู่มือการดูแลสุขภาพโคนม" สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ. ฟันนี่พับบลิชิ่ง.
ทัศนีย์ ชมภูจันทร์, สุรีย์ ธรรมศาสตร์, ปนันท์ ธนเจริญวัชร, จิรา คงครอง และเอกรินทร์ วัฒนพลาชัยกูร (บรรณาธิการ). 2539. คู่มือมาตรฐานการชันสูตรโรคสัตว์. สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ.โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
ธีรศักดื์ ชักนำ, โรคบรูเซลโลซีสในคน. เรียบเรียงจากคู่มือโรคติดต่อที่เป็นปัญหาใหม่. นนทบุรี: กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข. 2541.