Plague (Pneumonic plague) : กาฬโรคปอด ที่จีน
จาก Xin Hua Net รายงานวันที่ 1 สิงหาคม 2552 พบผู้ป่วย 11 ราย ที่ Hainan Tibetan Automous Prefecture, Northwest China’s Qinghai Province พบผู้เสียชีวิตรายแรกเป็นชายอายุ 32 ปี ต่อมา New York Time เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 รายงานว่าพบผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย Primary pneumonic plague (1% ของ natural plague) สามารถแพร่เชื้อได้ทางการหายใจ (aerosols) โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ Yersinia pestis มีระยะฟักตัวที่ 1 - 3 วัน ผู้ป่วยมีอาการ Flu-like symptoms มีไข้สั่น ปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนแอ และหายใจไม่สะดวก ไอมีเสมหะ อาจมีเลือดปน เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก เกิด hypoxia และไอเป็นเลือดซึ่งเป็นอาการเด่น คนติดเชื้อโดยถูกหมัดหนูที่มีเชื้อกัด และผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้จากการไอ จาม เชื้อ Yersinia spp. เป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ ที่อยู่ในกลุ่ม Enterobacteria เช่นเดียวกับ E. coli และ Salmonella spp. เชื้อนี้มี 8 ชนิด แต่ที่สำคัญก่อโรคในคน และสัตว์มี 3 ชนิด ได้แก่Yersinia enterocolitica ทำให้เกิดโรคในคนและสัตว์ได้หลายชนิด มีรายงานพบว่าทำให้เกิดโรควัณโรคเทียม (pseudotuberculosis) ในหมูและชินชิลล่า (Chinchilla, สัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายหนู) พบเป็นครั้งคราวในกระต่ายป่า นก แมว มิงค์ แกะ หนขูาว หนูตะเภา โค ม้า ฯ พบเชื้อได้ในอุจจาระ นํ้า และนม มีรายงานการแยกเชื้อได้จากบาดแผลที่ผิวหนัง นํ้าไขสันหลังในรายที่เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และจากเลือดในรายที่ติดเชื้อเข้ากระแสโลหิต เชื้อชนิดที่ 2 คือ Yersinia pseudotuberculosis ก่อโรคในสัตว์ป่าฟันแทะหรือสัตว์ทดลอง ลักษณะโรคเป็นแบบเรื้อรัง เป็นตุ่มเนื้อตายที่ Mesenteric Lymph nodes ตับ ม้าม และปอด และอาจพบการป่วยแบบเฉียบพลัน พบเชื้อในกระแสโลหิตได้เช่นเดียวกัน และเชื้อชนิดที่ 3 คือYersinia pestis ทำให้เกิดโรคกาฬโรคในคน โรคกาฬโรคเป็นโรคที่ก่อโรคในหนูและสัตว์ป่าชนิดฟันแทะ (Wild rodents) เช่น กระรอก และตัวมาร์มอท (marmot, สัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายหนู) คนจะติดโรคได้โดยสัมผัสเชื้อโดยบังเอิญ การระบาดของโรคในสัตว์อาจจะพบสัตว์ป่วยตายเป็นระยะๆ
กาฬโรคที่เกิดจากเชื้อ Yersinia pestis เป็นโรคที่พบมานานแล้วในคน เป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนที่เคยระบาดในสมัยก่อนมี 3 แบบ คือ กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง (Bubonic plague) กาฬโรคปอด (Pneumonic plague) และ กาฬโรคแบบโลหิตเป็นพิษ (Septicaemic plague) ประเทศที่มีรายงานการเกิดโรค ได้แก่ ทวีปอาฟริกา (คองโก มาดากัสกา แทนซาเนีย มาลาวี อัลจีเรีย) ทวีปเอเชีย (จีน มองโกเลีย อินเดีย เวียดนาม) และทวีปอเมริกา (เปรู สหรัฐอเมริกา) โรคนี้มีรังโรค (Reservoir) ตามธรรมชาติ คือ สัตว์ป่าชนิดฟันแทะซึ่งพบเป็นแบบไม่แสดงอาการ (subclinical) โดยหนู Black rat (Rattus rattus) เป็นสัตว์ชนิดฟันแทะที่เป็นตัวกลางระหว่างสัตว์รังโรคตามธรรมชาติและคน โฮสต์ในธรรมชาติสามารถติดเชื้อเป็นเวลานาน แต่สัตว์ฟันแทะที่อาศัยรอบๆ (peridomestic) ใกล้กับสัตว์เลี้ยงเมื่อเป็นโรคมักตายอย่างรวดเร็วและทำให้เกิดการแพร่เชื้อได้ในระหว่างที่แสดงอาการป่วย
|
|
|
Black rat ( Rattus rattus ) & Xenopsylla cheopis (Oriental rat flea) |
Rock squirrel & หมัด Oropsylla montana |
หมัด Pulex irritans |
สัตว์ฟันแทะ (Rodents) เป็นสัตว์พวกเลี้ยงลูกด้วยนม (Mammals) มีหลายชนิด (Species) เช่น หนูต่างๆ อ้น (Bamboo rat) แฮมสเตอร์ (Hamster) กระรอก (Squirrel) กระรอกดินหรือกระจ้อน (Marmot) บีเวอร์ (Beaver) เม่น (Porcupine) เป็นต้น
การติดต่อโรคระหว่างสัตว์ฟันแทะ เกิดจากการกัดของหมัด (Flea) ที่ติดเชื้อ ซึ่งเป็นแบบเดียวกับการติดเชื้อในคน มีหมัดมากกว่า 80 ชนิด ที่มีความสามารถเป็นพาหะนำโรค (maintain plague cycle) และการแพร่เชื้อจะเปลี่ยนแปลงในแต่ละประเทศโดยขึ้นอยู่กับสภาวะของระบบนิเวศวิทยา เช่น สัตว์รังโรค ภูมิอากาศ ฯลฯ หมัดที่เป็นพาหะนำโรคได้ดี (effective vector) คือ Xenopsylla cheopis (Oriental rat flea) หมัดที่มีคุณสมบัติสามารถขย้อน (regurgitate) เชื้อออกมาได้จะเป็นหมัดที่สามารถแพร่โรคได้ โดยหมัดจะดูดเลือดหนูที่มีเชื้ออยู่เข้าไปในร่างกายแล้วเชื้อแบคทีเรียจะเพิ่มจำนวนใน midgut ของหมัดแล้วก่อตัวเป็น solid mass ซึ่งจะอุดตันอยู่ที่ส่วน proventiculus ของหมัด และเมื่อหมัดตัวนั้นต้องการดูดเลือดใหม่อีกครั้ง หมัดจะไม่สามารถดูดเลือดเข้าสู่กระเพาะได้ จึงขย้อยเชื้อมาอยู่ที่บาดแผล จึงทำให้สัตว์ / คนติดเชื้อได้ (เป็นข้อมูลที่มีความเชื่อมานานแล้ว) แต่เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานพบว่า หมัดพวก Oropsylla montana ที่พบอยู่ทั่วไปในสัตว์จำพวกกระรอก (Ground / rock squirrels) เป็นหมัดที่มีความไวต่อการติดเชื้อกาฬโรคได้สูงเช่นกัน สำหรับในคนหมัดชนิด Pulex irritans สามารถนำเชื้อได้แต่พบในกรณีที่มีอยู่จำนวนมาก (เป็นเฉพาะคน) ซึ่งอาจมีบทบาทในการติดระหว่างคนต่อคนได้แม้ว่าจะมีคุณสมบัติเป็น poor blocking flea ก็ตาม สัตว์ที่สามารถติดโรคได้ คือ แมว สุนัข กระต่าย เฟอร์เร็ท (ferret, สัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายพังพอน), parries dogs (สัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายหนูขนาดใหญ่) ส่วนคนจะติดจากแมวมากที่สุด โดยสุนัขจะมีความต้านทานต่อการติดโรคมากกว่าคนที่เป็นกาฬโรคปอด จะแพร่โรคได้มากที่สุด ในช่วงชั่วโมงสุดท้ายก่อนตาย โดยระยะนี้สามารถแพร่เชื้อได้รวดเร็วมาก ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดโรคมากที่สุด คือ ผู้ที่เลี้ยงแมว และสัตวแพทย์ที่คลินิก กาฬโรคสามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะได้แต่โรคดำเนินไปเร็วมาก การชันสูตรโรคที่รวดเร็วและเริ่มรักษาทันทีจึงจะช่วยได้
การตรวจโรคทางห้องปฏิบัติการมีหลายวิธี เช่น Serology ( ELISA, IHA, direct FA), Bacteriology (Giemsa stain, gram stain, culture), PCR เป็นต้น อัตราป่วย / ตายในคนตามชนิดของกาฬโรค ดังนี้ Bubonic plague อัตราตาย 16% ถ้าไม่รักษาเพิ่มเป็น 40-70% Septicaemic plague อัตราตาย 30-50% ถ้าไม่รักษาเพิ่มเป็น 100% และ Pneumonic plague อัตราตาย ถ้าไม่รักษามีอัตราการตาย 100% สำหรับในประเทศไทยมีรายงานการระบาดครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2495 (ราว 57 ปีที่ผ่านมา) มีผู้ป่วย 2 ราย ในจำนวนนี้ตาย 1 ราย
จากที่มีรายงานข่าวว่าพบโรคกาฬโรคปอดซึ่งเป็นโรคระบาดร้ายแรงที่เมืองจื่อเคอถาน มณฑลชิงไห่ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน โดยมีคนป่วยและเสียชีวิตแล้วนั้น นายสัตวแพทย์ยุคล ลิ้มแหลมทอง อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 12 สิงหาคม 2552 ว่า เพื่อป้องกันมิให้โรคดังกล่าวเข้าประเทศ กรมปศุสัตว์ได้สั่งการให้ด่านกักกันสัตว์ทั่วประเทศเข้มงวดตรวจสอบการนำเข้าสัตว์ฟันแทะทุกชนิด รวมทั้งสุนัขและแมวจากประเทศจีนและมองโกเลีย และประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน และเจ้าหน้าที่ศุลกากรให้ช่วยเฝ้าระวังการลักลอบนำสัตว์ฟันแทะเข้าประเทศ และกำจัดเห็บ หมัดในสัตว์ดังกล่าวที่นำเข้าจากต่างประเทศทุกตัว กาฬโรคเป็นโรคติดต่อที่มีความรุนแรง ปกติเป็นโรคที่เกิดในสัตว์ประเภทฟันแทะอยู่ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะพวกหนูซึ่งเป็นแหล่งรังโรคที่สำคัญ สำหรับสัตว์อื่นที่อาจเป็นโรคนี้และติดต่อมาถึงคน ได้แก่ สัตว์พวกกระต่าย แมว เป็นต้น เชื้อติดต่อมาสู่คนโดยถูกตัวหมัดที่อาศัยกินเลือดสัตว์ดังกล่าวกัดคน เชื้อเข้าสู่ผิวหนังบริเวณที่ถูกกัดผ่านทางท่อน้ำเหลืองไปสู่ต่อมน้ำเหลือง การติดต่อระหว่างคนกับคนอาจเกิดได้โดยหมัดคนกัด หรือจากการหายใจเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยหรือสัตว์เลี้ยง เช่น แมวที่มีเชื้อโรคนี้ เชื้อกาฬโรคถูกทำลายได้ง่ายด้วยแสงแดด หรือทำให้แห้ง เมื่ออยู่ในอากาศจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 1 ชั่วโมง สุนัขและแมวอาจติดโรคนี้ได้จากการถูกหมัดหนูกัดหรือกินหนูที่มีเชื้อเข้าไป ซึ่งยังไม่เคยมีรายงานในไทย ดังนั้นประชาชนจึงไม่ควรวิตกกังวลว่าจะติดกาฬโรคจากหมัดสุนัข หรือหมัดแมว อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากโรคดังกล่าว กรมปศุสัตว์จึงขอให้ผู้เลี้ยงสัตว์ฟันแทะ รวมทั้งผู้เลี้ยงสุนัขและแมว ให้หมั่นดูแลเอาใจใส่สุขภาพของสัตว์ และหมั่นทำความสะอาดสถานที่เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งกำจัดเห็บ หมัด โดยสามารถขอรับคำปรึกษาและแนะนำได้จากเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ ในด้านการใช้ยากำจัดเห็บ หมัด รวมทั้งการกำจัดหนูที่อาศัยภายในบ้าน
สพ.ญ. ดร. พรเพ็ญ พัฒนโสภณ หัวหน้ากลุ่มแบคทีเรียและเชื้อรา สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ รายงานว่า โรคกาฬโรคมีประวัติการระบาดมาอย่างยาวนาน มีหลักฐานการระบาดครั้งแรกในเอเธนเมื่อ 430 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในครั้งนั้นมีคนตายถึงหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมดและความรุ่งเรืองของกรีซก็ถึงกาลล่มสลายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีการระบาดใหญ่ในช่วงปี ค.ศ. 541 ถึง 750 ในหลายประเทศ เริ่มจาก เอธิโอเปีย ไปอียิปต์ ผ่านตะวันออกกลางไปยุโรปแถบเมดิเตอร์เรเนียน ในยุโรปมีการระบาดในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 558 และ 654 แล้วระบาดเป็นวงรอบระหว่าง 8 ถึง 12 ปี ในอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียอัตราการตาย 50%การระบาดใหญ่ครั้งที่สองเกิดในช่วง ปี ค.ศ. 1330 -1346 เริ่มจากเอเชียกลาง มองโกเลียแล้วแผ่ไปทางตะวันตกผ่านเส้นทางการค้าขนสัตว์ ซึ่งสัตว์บางตัวตายจากโรคกาฬโรค และในช่วงการระบาดนี้เองที่คนรู้จักโรคนี้ว่าเป็น การตายสีดำ (Black Death) ซึ่งมีคนป่วยตายไปถึง 28 ล้านคนหรือ 40% ของประชากร โรคยังคงวนเวียนอยู่ต่อไป ในปี 1972 มีผู้ป่วยในประเทศฝรั่งเศสซึ่งมาจากซีเรียและเลบานอน มีคนตายไป 50,000 คน การระบาดใหญ่ครั้งที่สามเริ่มในปี 1855 ที่ประเทศจีน และระบาดอย่างรวดเร็วไปที่ฮ่องกง และเรื่อยขึ้นไปถึงฮาวายและอเมริกาเหนือ ที่ฮ่องกงมีการเพาะแยกเชื้อได้เป็นครั้งแรกและให้ชื่อว่า Pasteurella pestis เพื่อเป็นเกียรติแก่ Louis Pasteur (ค.ศ. 1822 - 1852) ในขณะที่ Alexandre Yersin ได้อธิบายความเชื่อมโยงระหว่างโรคกาฬ โรคกับหนู และ Paul Louis Simon เป็นผู้ค้นพบว่าหมัดหนูมีบทบาทในการถ่ายทอดเชื้อ องค์การอนามัยโลกจัดกาฬโรคว่าเป็นโรคระบาดซ้ำ
พัฒนาการของเชื้อ Yersinia pestis ในตัวหมัดโดยที่ในทางเดินอาหารของหมัดจะมีกระเพาะหน้า (proventriculus) มีลักษณะเป็นท่อแข็งเชื่อมหลอดอาหาร (esophagus) กับกระเพาะกลาง (midgut) กระพาะหน้านี้ยังทำหน้าที่ทำให้เม็ดเลือดแตกตัว และทำหน้าที่เป็นประตูปิดเปิดให้เลือดไปกระเพาะกลาง และปิดกั้นไม่ให้เลือดไหลย้อนออกมา เมื่อหมัดกินเลือดที่มีเชื้อ Y. pestis จากสัตว์ป่วย โดยทั่วไปเชื้อจะไปแพร่ขยายในส่วนของทางเดินอาหารส่วนกลาง Y.pestis จะไปจู่โจมที่ผิวของกระเพาะหน้าก่อนแล้วแบ่งตัวอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดการอุดตัน อาหารก็จะไม่สามารถผ่านไปที่กระเพาะ ทำให้หมัดอดอาหารจึงต้องพยายามกินเลือดบ่อยขึ้น เลือดที่เข้ามาที่หลอดอาหารก็จะกลายสภาพเป็นเลือดที่ติดเชื้อ Y. pestis แล้วถูกปั้มกลับเข้าไปในแผลที่หมัดกัด
พยาธิกำเนิดของโรคนี้คือ คนที่อยู่ในป่าโดยทั่วไปจะได้รับเชื้อจากการถูกหมัดกัด อาการจะปรากฏหลังระยะฟักตัว 2 ถึง 6 วัน โดยเชื้อจะเพิ่มขยายตรงบริเวณแผลที่ถูกกัด แล้วเชื้อก็จะถูกส่งไปที่ต่อมน้ำเหลืองซึ่งเชื้อจะเพิ่มขยายอย่างมากที่ต่อมน้ำเหลือง เกิดการอักเสบ เนื้อตายและบวมที่ต่อมน้ำเหลือใต้รักแร้และขาหนีบซึ่งเป็นรอยโรคที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า และเป็นที่มาของการเรียกชื่อกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง (Bubonic plague) เชื้อบางส่วนอาจถูกยับยั้งจากต่อมน้ำเหลือง แต่ในที่สุดเชื้อก็จะเขาสู่กระแสโลหิตทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษ และเข้าไปที่ตับ ม้ามและปอด และสุดท้ายที่พบบ่อยว่าเชื้อแพร่ไปในอากาศแล้วเกิดเป็นการป่วยแบบกาฬโรค ปอดบวม (pneumonic plague) ในผู้ที่อาศัยอยู่ในชนบท ผู้ป่วยที่เชื้อเข้ากระแสโลหิตแล้วจะมีอัตราการตายสูงและถ้าไม่ได้รับการรักษาก็จะเสียชีวิตภายในไม่เกิน 3 วัน การป่วยแบบปอดบวมโดยไม่มีการป่วย แบบต่อมน้ำเหลืองโตมาก่อนพบบ่อยในผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกา
กาฬโรคในแมวมีพยาธิกำเนิดของโรคเช่นเดียวกับของคน แมวป่วยจะแสดงอาการมีไข้สูงอย่างรวดเร็ว 40.5 – 41.1 oC ระยะฟักตัว 1 ถึง 4 วัน เมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตแล้ว สัตว์จะเซื่องซึม ไม่กินอาหาร มีอาเจียน ท้องเสีย ชีพจรอ่อน หัวใจเต้นเร็ว ปลายเท้า ปลายจมูกและปลายหูเย็น เลือดมีการจับตัวเป็นลิ่มในหลอดเลือด ในการป่วยแบบ bubonic plague บ่อยครั้งที่จะพบมีฝีขนาดใหญ่ หรือต่อมน้ำเหลืองขยายใหญ่ ซึ่งอาจจะแตกออกและเจ็บปวดมากเมื่อถูกสัมผัส แมวบางตัวอาจไม่แสดงอาการตามที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นการวินิจฉัยโรคในแมวจึงต้องดูประวัติและทำอย่างเป็นระบบ สุนัขที่ติดเชื้อโดยธรรมชาติหรือจากการทดลองมีอาการน้อยกว่าแมว มีการตรวจพบแอนติบอดีในสุนัขอย่างบังเอิญซึ่งแสดงว่าสัตว์มีการสัมผัสโรค ละบ่งชี้ว่าสุนัขมีความต้านทานกาฬโรคได้ ซึ่งอาจมีประโยชน์ในการใช้เป็น sentinel สำหรับเฝ้าระวังกาฬโรคได้ โค ม้า แกะ และสุกรเป็นสัตว์ที่ไม่ไวต่อการติดโรค เช่นเดียวกับสุนัขจิ้งจอก แร็ตคูน สกั๊ง หมี และแมวป่าโคโย๊ตก็มีความทนทานต่อโรค ในขณะที่แพะและอูฐมีความไวต่อโรค คนไข้ในตะวันออกกลางติดกาฬโรคจากการกินเนื้ออูฐที่เป็นโรค นอกจากนี้ยังมีรายงานการเกิดโรคใน ลามะ กวาง และเนื้อทรายและเป็นผลให้เกิดกาฬโรคในสิงโต แมวป่าบ๊อบแคท
เชื้อ Y. pestis ถูกใช้เป็นอาวุธชีวภาพ และการก่อการร้ายอย่างกว้างขวางในช่วงสงครามเย็น อาวุธนี้ถูกส่งโดยทางอากาศโดยมุ่งทำให้เกิดอาการปอดบวมติดต่อกันภายในชุมชน ซึ่งสับสนกับโรคทางเดินหายใจตามปกติ เมื่อคนป่วยเป็นกาฬโรคชนิดปอดบวมขึ้นแล้ว โรคก็อาจดำเนินไปเป็น ช็อคจากการติดเชื้อและตายในที่สุด เชื้อ Y. pestis จัดเป็นอาวุธชีวภาพที่ร้ายแรงชนิด Category A เชื้อ Y. pestis สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยหมัดจะติดเชื้อจากกับสัตว์ป่วย เมื่อสัตว์ตายแล้วหมัดก็ไม่สามารถหาอาหารได้จึงต้องหาสัตว์ตัวใหม่ ดังนั้นเชื้อที่สามารถมีชีวิตรอดได้ในธรรมชาติจึงเป็นเชื้อที่รุนแรงและทนต่อสภาพแวดล้อม โดยทั่วไปแล้วหมัดหนู (Xenopsylla cheopis) เป็นพาหะนำโรคจากสัตว์ฟันแทะเช่น กระรอก หนูไพรรี่ กระรอกไม้ หนูแกงการู และกระรอกชิพมั้นค์ ทำให้สัตว์เหล่านี้ป่วยตายเป็นจำนวนมาก คนได้รับเชื้อโดยตรงโดยการสัมผัสกับสัตว์ป่วย หรือเชื้อที่อยู่ในอากาศภายในถ้ำ การติดเชื้อโดยทางอ้อมได้แก่สัตว์บ้านถูกหมัดที่ติดเชื้อกัด เนื่องจากหมัดสามารถมีชีวิตอยู่ในโพรงที่อยู่ของสัตว์ที่ป่วยตายได้หลายเดือนจึงเป็นแหล่งแพร่เชื้อไปสู่สัตว์ชนิดอื่นที่หมัดสามารถมีชีวิตอยู่ด้วยได้ รวมทั้งสัตว์เลี้ยงเช่นแมว เมื่อแมวป่วยก็สามารถแพร่เชื้อไปยังคนผ่านทางอากาศ หรือคนถูกหมัดแมวกัด ประมาณ 25% ของผู้ป่วยเป็นสัตวแพทย์หรือผู้ร่วมงาน ผู้ป่วยมากกว่า 1 ใน 5 คนจะเสียชีวิตโดย 3 ใน 4 ป่วยแบบกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง ในขณะที่ 1 ใน 4 ป่วยแบบ กาฬโรคปอดบวมสัตว์เลี้ยงเช่น สุนัขและแมวมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อโดยการสัมผัสกับสัตว์ฟันแทะที่ติดเชื้อหรือกระต่าย หรือถูกหมัดที่มีเชื้อกัด ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ของการติดเชื้อในสุนัขและแมว ในเขตชนบทหรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆที่อยู่ในระแวกใกล้เคียง
เชื้อ Yersinia เป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบอยู่ในกลุ่ม Enterobacteria เช่นเดียวกับ E.coli และ Salmonella spp. เชื้อนี้มี 8 ชนิด แต่ที่สำคัญในคนและสัตว์มี 3 ชนิด ชนิดแรกคือ Y. enterocolitica ทำให้เกิดโรคในคนและสัตว์ได้หลายชนิด มีรายงานว่าทำให้เกิด TB เทียม (pseudotuberculosis) ในหมู และ ตัว Chinchilla พบเป็นครั้งคราวในกระต่ายป่า นก แมว มิงค์ แกะ หนูขาว หนูตะเภา โค ม้า อุจจาระ น้ำ และนม มีรายงานการแยกเชื้อได้จาก แผลที่ผิวหนัง น้ำไขสันหลังในรายเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และเลือดในรายที่ติดเชื้อเข้ากระแสโลหิต ชนิดที่ 2 คือ Y. pseudotuberculosis ก่อโรคในสัตว์ฟันแทะในป่า หรือสัตว์ทดลอง ลักษณะโรคเป็นแบบเรื้อรังเป็นตุ่มเนื้อตายที่ Mesenteric lymph nodes ตับ ม้าม และปอด การป่วยแบบเฉียบพลันเข้ากระแสเลือดก็พบได้ และชนิดที่ 3 คือ Y. pestis ทำให้เกิดโรคกาฬโรคในคน โรคกาฬโรคเป็นโรคในหนูและสัตว์ป่าชนิดฟันแทะ (wild rodent) เช่นกระรอกและตัวมาร์มอท (marmot) คนจะป่วยแบบบังเอิญไปติดโรคเข้า
โรคในสัตว์อาจจะระบาดแบบไฟไหม้ฟางคือ ทำให้สัตว์ฟันแทะตายอย่างกว้างขวางหรือสัตว์อาจจะป่วยแบบเป็นช่วงๆ ตัวอย่างส่งตรวจอุจจาระ ได้แก่ เนื้อเยื่อจากสัตว์ที่ตายแล้วเช่น ลำไส้ ตับ ไต ปอด ม้า หรือไขกระดูก น้ำนมในรายที่มีเต้านมอักเสบ การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการทำได้โดยการย้อมเชื้อจากตัวอย่างส่งตรวจโดยตรงเชื้อมีรูปร่าง Coccobacilli หรือ เป็นแท่งตรงหัวท้ายมน เชื้อ Y. pestis มีลักษณะเฉพาะคือ ส่วนหัวท้ายมีลักษณะเป็นสีเข้มแสดงลักษณะคล้ายเข็มซ่อนปลาย (safety pin) เมื่อย้อมด้วยสี methylene blue หรือ Wayson stain หรือ Wright’s stain ซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะสำหรับการวินิฉัยเชื้อนี้ตามรูปที่ 3 การเพาะแยกเชื้อโดยใช้อาหารเลี้ยงเชื้อทุกชนิดสำหรับเพาะเชื้อ enteric bacteria สามารถใช้ได้เช่น 5% sheep blood agar หรือ chocolate agar และ MacConkey agar หรือ selective media อื่นๆ เช่น xylose lysinedeoxycholate (XLD) agar หรือ Salmonella-Shigella (SS) agar อาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเหลวต่างที่ใช้ในการเพาะเชื้อจากเลือด รวมทั้ง thioglycollate และ brain-heart infusion broth อาหารเลี้ยงเชื้อจำเพาะที่ใช้แยก Y. enterocolitica จากตัวอย่างส่งตรวจทางด้านทางเดินอาหารได้แก่ Cefsulodin-irgasannovobiocin (CIN) agar
เชื้อ Y. pestis เจริญได้ดีที่สุดที่ 25 -30 oC ควรบ่มในตู้บ่มเฉพาะที่มีอากาศตามปกติเท่านั้น ไม่ควรบ่มในตู้ที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเฉพาะในอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดที่เป็น selective media เช่น MacConkey, SS, HE และ XLD agar โคโลนีของเชื้อบน 5% sheep blood agar หลังบ่ม 24 ชั่วโมงมีขนาดเล็ก (pin point) มีลักษณะหยาบ และมีลักษณะเหมือนดอกกระหล่ำเมื่อบ่มที่ 48 ชั่งโมง broth culture เชื้อ Y. pestis มีลักษณะ “stalactite pattern” คือเหมือนหินงอกหินย้อยเป็นก้อนของเซลแปะติดอยู่ด้านข้างของหลอด
เชื้อ Y. enterocolitica เมื่อเพาะบน CIN agar ควรบ่มถึง 48 ชั่วโมงเช่นกันเพื่อให้โคโลนีของ เชื้อ Y. enterocolitica มีลักษณะจำเพาะที่เรียกว่า “bulls-eye” คือตรงกลางมีสีแดงเข้มหรือสีเหล้าองุ่นจากเบอร์กันดี้และมีส่วนใสล้อมรอบ ส่วนเชื้อ Yersinia spp. มีลักษณะของโคโลนีบน MacConkey agar เป็น non lactose fermenter คือไม่มีสีหรือสีลูกพีช ส่วนโคโลนีบน XLD agar เป็นสีเหลือง หรือไม่มีสี
การทดสอบทางชีวเคมีของเชื้อ Yersinia spp. (Maragery and Chengappa, 1990)
[บรรณานุกรม : Songer, J.G. and PInositolost, K.W. 2005. The genus Yersinia. In: Veterinary Microbiology. eds. ; Duncan, L., WinkeSdonitoll, A.J., Dixon, S., Tannian, P. Altepeter, A., Buxton, A., Elsvier Saunders, Missouri. p137-146. ; Maragery, R.C. and Chengappa, M.M. 1990. Enterobacteria. In: Diagnosis Procedures in Veterinary Bacteriology and Mycology. Eds. Carter, G.R. and Jr. Cole, J.R., Academic press, Inc. ; Harcourt Brace Jovanovich, Publisher, San Diego, New York, Boston, London, Sydney,Tokyo, Toronto. p107-128. ; Forbes, B.A., Alice, D.F.S., Weissfeld, A.S. 1998. Enterobacteriaceae. In: Bailey & Scott’s Diagnostic Microbiology. 10th ed. Mosby, Inc. Missouri. p.509-526.]
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กรมปศุสัตว์