โรคบรูเซลโลซิส (Brucellosis)

โรคบรูเซลโลซิสหรือที่เกษตรกรนิยมเรียกว่า "โรคแท้ง" "โรคแท้งติดติดต่อ" เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่สำคัญของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น โค กระบือ สุกร แพะ ม้า สุนัข เป็นต้น และติดต่อสู่คนได้ ลักษณะที่ควรสังเกตของโรคนี้ คือ สัตว์จะแท้งลูกในช่วงท้ายของการตั้งท้อง และอัตราการผสมติดในฝูงจะต่ำ

สาเหตุและการแพร่ของโรค

เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ บรูเซลล่า (Brucella spp.) พบมีการแพร่ระบาดในทุกประเทศของโลก โดยเฉพาะโคนม ยังมีความสำคัญในด้านสุขภาพอนามัยของมนุษย์ด้วย เนื่องจากโรคนี้สามารถติดต่อถึงคนได้เรียกว่า อันดูแลนท์ ฟีเวอร์ (Undulant fever) พบว่าโคทุกอายุสามารถติดเชื้อนี้ได้แต่ในโคสาวแม่โค โคตั้งท้องและโคเพศผู้ที่โตเต็มวัย สามารถติดเชื้อนี้ได้ง่ายกว่าลูกโค โคส่วนมากจะติดเชื้อ โดยการกินอาหาร น้ำที่มีเชื้อปะปน ซึ่งเชื้อนี้จะออกมากับน้ำปัสสาวะ น้ำนม น้ำคร่ำ ของโคที่เป็นโรค หรืออาจติดเชื้อได้โดยการสัมผัสโดยตรงเชื้อเข้าทางผิวหนัง เยื่อชุ่ม โดยการหายใจ การผสมพันธุ์โดยวิธีธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นได้น้อยมากGenus Brucella
เชื้อบรูเซลลา เป็นเชื้อแบคทีเรียจำพวกกรัมลบ (gram negative) และอาศัยภายในเซลล์ (intra-cellular bacteria) นอกจากทำให้เกิดการแท้งลูกในสัตว์แล้ว เชื้อ B. abortus (พบในโค-กระบือ), B. melitensis (พบในแพะ) และ B. suis (พบในสุกร) ยังเป็นเชื้อก่อโรคในคนที่อันตราย โดยทำให้คนมีไข้สูงหรือมีการติดเชื้อเฉพาะที่เช่น กระดูก เนื้อเยื่อ และอวัยวะในระบบต่างๆ

bru1

bru3

bru2

ข้อเข่าอักเสบ และลูกอัณฑะอักเสบ

อัณฑะอักเสบ (บน) ปกติ (ล่าง)

ลักษณะภายในของลูกอัณฑะอักเสบ

     

bru 7

bru 6

bru 5

 

ลูกแท้ง

 

อาการ
แม่โคจะแท้งลูกในระยะตั้งท้องได้ 5-8 เดือน จะมีรกค้างและมดลูกอักเสบตามมาเสมอ การแท้งมักจะเกิดขึ้นในการตั้งท้องแรกเท่านั้น หลังจากนั้นอาจไม่แท้ง แต่จะเป็นตัวอมโรคแพร่ไปยังโคตัวอื่นๆ ได้ หรือลูกโคที่คลอดออกมาจะอ่อนแอไม่แข็งแรงหรืออาจเป็นหมัน การผสมติดในฝูงต่ำ โคเพศผู้ลูกอัณฑะจะบวมโตข้างใดข้างหนึ่งและเป็นหมัน อาจพบข้ออักเสบร่วมด้วย
ในคนจะมีอาการหนาวสั่นไข้ขึ้นๆ ลงๆ มีเหงื่อออกมากในเวลากลางคืนจะปวดเมื่อยตามข้อและตามกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตัวเหลืองซีดการเก็บตัวอย่าง
ตัวอย่างที่เก็บส่งห้องปฏิบัติการเพื่อเพาะแยกเชื้อคือ สิ่งที่ถูกขับออกมาจากการแท้งลูก เช่น รก ลูกโคที่แท้ง น้ำนม เลือด (ในระยะที่มีเชื้ออยู่ในกระแสเลือด) ตัวอย่างที่เหมาะสมสำหรับเพาะแยกเชื้อ แตกต่างกันตามชนิดสัตว์ เทคนิคในการเก็บตัวอย่างต้องทำโดยไม่ให้มีการปนเปื้อน และใส่ในภาชนะหรือถุงพลาสติกที่สะอาด ปิดให้แน่นพร้อมระบุชื่อสัตว์หรือเลขประจำตัวสัตว์ และรายละเอียดต่างๆ ให้ชัดเจน ไม่ลอกหลุด แล้วนำไปแช่เย็นหรือแช่แข็งในกรณีที่ไม่เพาะเชื้อภายใน 24 ชั่วโมงการส่งตัวอย่าง
ตัวอย่างเนื้อเยื่อแช่เย็นในกล่องโฟมหรือกระติก และนำส่งห้องปฏิบัติการ ตัวอย่างเนื้อเยื่อที่ยังไม่ได้เพาะแยกเชื้อหรือต้องการเก็บไว้เพื่อการศึกษาวิจัย ให้เก็บไว้ที่ -20 oC หรือต่ำกว่านี้ สามารถเก็บไว้ได้นานถึง 18 เดือนน้ำนม
ทำความสะอาดเต้านมด้วยแอลกอฮอล์ 70% รีดน้ำนมทิ้งในช่วงแรกและเก็บน้ำนม 10 - 20 มิลลิลิตร จากแต่ละเต้าใส่หลอดหรือขวดที่สะอาด ระมัดระวังการปนเปื้อนในน้ำนมและจากมือของผู้รีดนมVaginal swabs
การทำ vaginal swab ให้ดำเนินการภายใน 6 สัปดาห์หลังแท้ง หรือหลังคลอด ควรใช้ guarded sterile swab เพื่อป้องกันการติดโรค แล้วนำ swab ที่ได้ใส่ในหลอดที่สะอาด รีบนำส่งห้องปฏิบัติการโดยเร็ว หรืออาจจะนำ swab ใส่ลงในหลอดที่มี transport medium ก่อนส่งห้องปฏิบัติการFetal membranes
ตรวจดู fetal membranes และเก็บ cotyledon ที่ลักษณะผิดปกติ 1 - 2 อัน ใส่ในภาชนะที่สะอาดนำส่งห้องปฏิบัติการเพื่อเพาะแยกเชื้อแบคทีเรียลูกโคแท้ง (aborted fetus)
ตัวอย่าง stomach contents เก็บโดยใช้ไซริงค์และเข็มเบอร์ 18 หรือ pasteur pipette ที่สะอาด เจาะกระเพาะและดูดส่วนที่เป็นของเหลว 10 - 20 มิลลิลิตร ใส่ในหลอดที่สะอาด ปอดจากทั้ง 2 ข้าง และม้าม เก็บโดยใช้กรรไกรตัดชิ้นส่วนของอวัยวะต่างๆ ใส่ภาชนะที่สะอาด ในการเก็บตัวอย่างนั้น อุปกรณ์ที่ใช้ต้องแยกไม่ปนกันซากสัตว์ (animal carcasses)
เชื้อ Brucella มักจะแยกได้จากตัวอย่างเนื้อเยื่อของ reticulo-endothelial system ของเหลวจากมดลูกของโคที่ตั้งท้องหรือหลังคลอดลูก เต้านม และสารคัดหลั่ง หรืออวัยวะ/ท่อในระบบสืบพันธุ์ของเพศผู้ ในโคเพศเมียที่เจริญเติบโตเต็มวัย พบว่าประมาณ 90% ของโคที่เป็นโรคนั้นสามารถแยกเชื้อ บรูเซลลาได้จากต่อมน้ำเหลืองที่เต้านม (mammary lymph nodes) ซึ่งหากรวมถึงการเพาะเชื้อจากต่อม น้ำเหลืองอื่นๆ เช่น mandibular, medial iliac lymph nodes และ uterine caruncles จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการเพาะแยกเชื้อได้ถึง 100% ในโคสาวควรจะเก็บตัวอย่างและเพาะแยกเชื้อจากต่อมน้ำเหลืองอื่นๆ เพิ่มอีก คือ medial retropharyngeal, parotid, superficial cervical (prescapsular), mesenteric lymph nodes และม้าม เพื่อจะทำให้ได้รับผลที่ถูกต้องยิ่งขึ้น ส่วนในโคเพศผู้เก็บอัณฑะ, prostate, epididymes, seminal vesicles และต่อมน้ำเหลืองอื่นๆ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บตัวอย่างในแต่ละชนิดต้องแยกชุดและสะอาด ตัวอย่างเนื้อเยื่อเก็บใส่ภาชนะที่สะอาดและแยกภาชนะการตรวจวินิจฉัย
การตรวจทางซีรั่มวิทยา
เจาะเลือดโคตัวละประมาณ 5 ซีซี แยกเก็บน้ำเหลือง (ซีรั่ม) ถ้าไม่สามารถส่งได้ภายในวันนั้นจะต้องเก็บซีรั่มแช่แข็งไว้ ซีรั่มควรส่งไม่น้อยกว่าตัวละ 1 ซี.ซี.
การตรวจทางซีรั่มวิทยาในห้องปฏิบัติการมี 4 วิธีคือ
1. การตรวจด้วยวิธี โรส เบงกอล เทสต์ (Rose Bengal test) โดยใช้ซีรั่ม 1 หยด และน้ำยาตรวจ 1 หยด คนให้เข้ากัน ถ้ามีตะกอนเกิดขึ้นถือว่าเป็นโรค
2. ตรวจด้วยวิธีทิว แอกกลูติเนชั่น เทสต์ (Tube Agglutination test) โคที่ฉีดวัคซีนหลังจากฉีดวัคซีนแล้ว 10 เดือน ถ้าให้ผลบวกตั้งแต่ 1:200 ให้ถือว่าเป็นโรค ส่วนโคที่ไม่ฉีดวัคซีนถ้าให้ผลบวกที่ 1:100 ขึ้นไปถือว่าเป็นโรค
3. วิธีคอมพลีเมนต์ ฟิกเซชั่น เทสต์ Complement fixation test) เป็นวิธีการตรวจเพื่อยืนยันผลอีกขั้นหนึ่ง สำหรับในโคที่เป็นโรคเรื้อรัง
4. วิธีอีไลซ่า (ELISA)แอนติเจนทดสอบโรคของกรมปศุสัตว์ที่ผลิตโดยสำนักเทคโนโลยีชีวภัณฑ์สัตว์

antigenBr3
วิธีการใช้
  1. ก่อนใช้นำซีรั่มที่ต้องการตรวจ และแอนติเจนออกจากตู้เย็นเพื่อให้อุณหภูมิใกล้เคียงภายนอก
  2. หยดซีรั่ม 0.03 มล. (1 หยด) ลงบนแผ่นกระจก
  3. เขย่าแอนติเจนเบาๆ จนเข้ากัน แล้วหยด 0.03 มล. (1 หยด) ลงช้างๆ ซีรั่ม
  4. ใช้แท่งแก้วหรือไม้จิ้มฟันคนเป็นรูปวงกลม ให้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม.
  5. เอียงกระจกไปมา เพื่อให้ส่วนผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
  6. ครบ 4 นาที อ่านผลทันที วิธีอ่านผล
    Positive (+) : เกิดการจับกลุ่มแม้แต่นิดเดียวขึ้นไป
    Negative (-) : ไม่มีการจับกลุ่มเลย
  7. แอนติเจนที่เปิดใช้แล้ว ให้เก็บรักษาในตู้เย็นอุณหภูมิ 4-6 องศาเซลเซียส
ขนาดใช้ ตัวอย่างละ 0.03 มล.
ขนาดบรรจุ ขวดละ 10 มล. (300 ตัวอย่าง)
การเก็บรักษา เก็บในตู้เย็นอุณหภูมิ 4 - 6 องศาเซลเซียส ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

antigenBr2

วิธีการใช้
  1. ก่อนใช้นำซีรั่มที่ต้องการตรวจ และแอนติเจนมาตั้งทิ้งไว้ให้มี่อุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิ ภายนอก
  2. ใช้ pipette ขนาด 0.2 มล. ดูดซีรั่มขึ้นมาเหนือขีดสูงสุดแล้วปล่อยให้ไหลลงมาจนท้องน้ำของซีรั่มตรงกับขีดสูงสุด เอาปลาย pipette แตะกับแผ่นกระจก โดยให้ pipette ทำมุม 45 องศากับกระจก ปล่อยซีรั่มลงในช่องแผ่นกระจก ช่องละ 0.08 , 0.04, 0.02, 0.01 มล. ตามลำดับ
  3. เขย่าแอนติเจนเบาๆ จนเข้ากัน ใช้ dropper หยดแอนติเจนในแนวตั้งฉากลงข้างๆ ซีรั่ม (0.03 มล.)
  4. ใช้แท่งแก้วหรือไม้จิ้มฟันคนเป็นรูปวงกลมจากช่องที่มีซีรั่ม 0.01 มล. ก่อนแล้วจึงคนช่องที่มีซีรั่มมากขึ้นตามลำดับ ช่องแรกที่มีซีรั่ม 0.01 มล. คนให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ซม. และค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนถึงช่องที่มีซีรั่ม 0.08 มล. ให้มีขนาดประมาณ 3 ซม.
  5. เอียงกระจกไปมา (Rotating movement) เพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน ตั้งทิ้งไว้ 5 นาที เอียงกระจกไปมาอีกครั้ง
  6. เมื่อครบ 8 นาที เอียงกระจกไปมาเล็กน้อยเพื่อดูปฏิกริยาที่เกิดขึ้น
  7. การบันทึกปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น
    + หมายถึง มีการจับกลุ่มจนหมด (Complete agglutination) แยกออกจากส่วนใสชัดเจน
    หมายถึง มีการจับกลุ่มบางส่วน (Incomplete agglutination) จะเห็นมีการจับ กลุ่มบ้างแต่ไม่มีส่วนใสแยกออกมา
    หมายถึง ไม่มีการจับกลุ่มเลย ( No agglutination) จะเห็นไม่มีการจับกลุ่มเลย มองดูเป็นเนื้อเดียวกันหมด
  8. การแปลผลปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น ให้แปลผลเหมือนตารางด้านล่าง ของแอนติเจนบรูเซลโลซีสชนิดทดสอบในหลอดแก้ว (ยู เอส ดี เอ ) ทุกประการ
ขนาดบรรจุ ขวดละ 20 มล. (160 ตัวอย่าง)
การเก็บรักษา เก็บในตู้เย็นอุณหภูมิ 4-6 องศาเซลเซียส ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง
antigenBr1
วิธีการใช้
  1. เตรียมแอนติเจน โดยเจือจางเป็น 1: 100 ด้วย 0.5 % Phenol Saline Solution
  2. ใช้ Pipette ขนาด 0.2 มล. ดูดซีรั่มที่ต้องการตรวจ 0.16 มล. ใส่หลอดทดลอง (ขนาด 13 x 100 มม.) หลอดแรก
  3. ใช้ Pipette ขนาด 2 มล. หรือ Automatic Syringe แจกแอนติเจนที่เตรียมไว้(ข้อ 1) ลงในหลอดแรก 4 มล. และ 2 มล. ในหลอดต่อๆ มา
  4. เขย่าหลอดที่ 1 เพื่อผสมซีรั่มและแอนติเจนให้เข้ากัน แล้วใช้ Pipetteขนาด 2 มล.ดูดส่วนผสม 2 มล. ใส่หลอดที่ 2 ทำเช่นเดียวกันจนครบทุกหลอด แต่หลอดสุดท้าย ดูดทิ้ง 2 มล. ความเข้มข้นของซีรั่มจะเป็น 1: 25 , 1:100 ,1: 200 , ฯลฯ
  5. นำเข้าตู้อบอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส นาน 48 ชั่วโมง
  6. อ่านผล
    วิธีอ่านผล Positive Reaction (+) : ส่วนผสมของซีรั่มและแอนติเจนจะใส เมื่อเขย่าเบาๆ ส่วนที่จับกลุ่มอยู่ที่ก้นหลอดจะไม่กระจาย
    Incomplete Reaction ( I ) : ส่วนผสมของซีรั่มและแอนติเจนจะใสเป็นบางส่วนแต่เมื่อเขย่าเบาๆ ก็ไม่ทำให้ส่วนก้นหลอดกระจาย
    Negative Reaction (-) : ส่วนผสมของซีรั่มและแอนติเจนไม่ใสและเมื่อเขย่าจะไม่เห็นการจับกลุ่มที่ก้นหลอด
ขนาดบรรจุ ขวดละ 10 มล. (80 ตัวอย่าง)
การเก็บรักษา เก็บในตู้เย็นอุณหภูมิ 4 - 6 องศาเซลเซียส ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง


การทดสอบโรคด้วยแอนติเจนบรูเซลโลซิส ชนิดโรสเบงกอล

การทดสอบโรคบรูเซลโลซิสวิธี RBT

การอ่านผล

ลักษณะตะกอน

ลักษณะน้ำ

cow bru RBPT1

+ 4

ตะกอนหยาบ เกาะกลุ่มชัดเจนทั้งหมด
สีชมพูอ่อน

ใส

cow bru RBPT2

+ 3

ตะกอนหยาบเกาะกลุ่มค่อนข้างชัดเจนที่บริเวณขอบ
สีชมพูอ่อน

ค่อนข้างขุ่น

cow bru RBPT3

+ 2

ตะกอนละเอียดกระจาย
เห็นได้ชัดเจน

ขุ่น

cow bru RBPT4

+ 1

ตะกอนละเอียดขนาดเล็ก
สามารถมองเห็นได้เมื่อเอียงแผ่นกระจก

ขุ่น

cow bru RBPT5

negative

ไม่มีตะกอน

ขุ่น

                  

ที่มา : กลุ่มอิมมูนและซีรัมวิทยา

การตรวจเพาะหาเชื้อแบคทีเรีย
กรณีที่สัตว์แท้งลูกควรเก็บลูกที่แท้งรวมทั้งรก น้ำนมหรือถ้าโคคลอดปกติก็ควรจะเก็บส่วนรก ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยนำรกและชิ้นส่วนอื่นแช่น้ำแข็ง หรือหากส่งห้องปฏิบัติการไม่ทันในวันที่เห็นอาการ ควรจะเก็บเนื้อเยื่อต่างๆ เหล่านี้โดยการแช่แข็ง แล้วจึงนำส่งตรวจการเพาะแยกเชื้อแบคทีเรียเป็นวิธีเดียวที่เป็นการยืนยันการชันสูตรโรคบรูเซลโลซิส การเพาะแยกเชื้อต้องปฏิบัติใน biological safety cabinet และสวมเสื้อกาวน์ในขณะปฏิบัติงาน
เชื้อ Brucellae ที่อยู่ในอวัยวะเนื้อเยื่อและสารคัดหลั่งนั้น มักจะมีปริมาณน้อย ดังนั้นในการเพาะแยกเชื้อควรจะ inoculate บนอาหารเลี้ยงเชื้อ selective solid medium 1 เพลท และอาหารเลี้ยงเชื้อ biphasic 2 ขวด ซึ่งมักจะพบเชื้อบรูเซลลาบนอาหารเลี้ยงเชื้อในเพลทก่อนในอาหารเลี้ยงเชื้อ biphasic การ inoculate ตัวอย่างบนอาหารเลี้ยงเชื้อในเพลท ใช้ swab หรือแท่งแก้วสามเหลี่ยม ส่วนในอาหารเลี้ยงเชื้อ biphasic จำนวน 2 ขวด ใช้ pipette ที่สะอาด inoculate ขวดละ 1 มิลลิลิตร และ 2 มิลลิลิตร ตัวอย่างที่เหลือจากการเพาะแยกเชื้อให้เก็บแช่แข็ง เพื่อจะนำมาทำซ้ำในกรณีที่มีการปนเปื้อน

ดาวน์โหลดเอกสารวิธีการชันสูตรโรคบรูเซลโลซิสในโค-กระบือ 

การรักษา
ไม่แนะนำให้รักษาเนื่องจากไม่ให้ผลดีเท่าที่ควร

การควบคุมและป้องกัน
1. ควรตรวจโรคทุกๆ 6 เดือน ในฝูงโคที่ยังไม่ปลอดโรคและทุกปีในฝูงโคที่ปลอดโรค
2. สัตว์ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคควรจะแยกออกจากฝูง
3. คอกสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้ ต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาด แล้วทิ้งร้างไว้อย่างน้อย 1 เดือน ก่อนนำสัตว์ใหม่เข้าคอก
4. ทำลายลูกที่แท้ง รก น้ำคร่ำ โดยการฝังหรือเผา แล้วทำความสะอาดพื้นที่นั้นด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
5. กำจัด นก หนู แมลง สุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นซึ่งเป็นตัวแพร่โรคออกไป
6. สัตว์ที่นำมาเลี้ยงใหม่ ต้องปลอดจากโรคนี้ก่อนนำเข้าคอก
7. โคพ่อพันธุ์ที่ใช้ต้องไม่เป็นโรคนี้
8. ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ในโค กระบือ เพศเมีย อายุ 3 - 8 เดือน ซึ่งจะทำให้มีภูมิคุ้มกันโรคได้นานถึง 6 ปี

วัคซีนบรูเซลโลซิสของกรมปศุสัตว์ที่ผลิตโดยสำนักเทคโนโลยีชีวภัณฑ์สัตว์

          

vaci bru
วิธีการใช้
  1. ฉีดในโคเพศเมียอายุ 3 - 8 เดือน เพียงครั้งเดียว
  2. ไม่ควรฉีดวัคซีนบูรเซลโลซีส ชนิดใดๆ ซ้ำอีก
ขนาดฉีด ตัวละ 2 มล. เข้าใต้ผิวหนัง
ความคุ้มโรค ฉีดวัคซีนนี้ให้กับลูกโคเพียงครั้งเดียว จะให้ความคุ้มโรคได้นาน 7 ปี
ขนาดบรรจุ ขวดละ 5 โด๊ส พร้อมน้ำยาละลาย 10 มล.
การเก็บรักษา เก็บในตู้เย็นอุณหภูมิ 4-6 องศาเซลเซียส ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง
ข้อควรระวัง
  1. ห้ามวัคซีนถูกแสงแดด
  2. ห้ามใช้สารเคมีฆ่าเชื้อที่กระบอกฉีดยาและเข็ม
  3. วัคซีนนี้เป็นวัคซีนเชื้อเป็นติดต่อถึงคนได้
  4. หลังจากฉีดวัคซีนแล้ว นำเข็มและกระบอกฉีดยาไปต้มฆ่าเชื้อ ส่วนขวดบรรจุวัคซีนให้ เปิดจุกออกก่อน แล้วเผาหรือต้มฆ่าเชื้อ ก่อนนำไปทิ้ง
  5. ไม่ควรฉีดวัคซีนให้กับลูกโคภายใน 21 วัน ก่อนส่งโรงฆ่า
  6. หลังฉีดวัคซีนควรกักสัตว์ไว้ในที่ร่มและเฝ้าดูอาการประมาณ 1 ชั่วโมง หากสัตว์แสดงอาการแพ้วัคซีน แก้ไขโดยฉีดแอดรี นาลีน 1:1000 เข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าหลอดเลือด ตัวละ 1 มล . หรือ 0.5 - 1 มล . ต่อน้ำหนัก 50 กก . หรืออาจฉีดควบกับแอน ติฮีสตา มีน 0.5 - 1 มก . ต่อน้ำหนัก 1 กก .
  7. วัคซีนที่ละลายแล้ว ต้องแช่เย็นตลอดเวลา และใช้ให้หมดภายใน 2 ชั่วโมง