โรคโบวายไวรัสไดอะเรีย Bovine virus diarrhea (BVD), Mucosal disease (MD)
เป็นโรคติดเชื้อในโค แกะและสัตว์เคี้ยวเอื้องอื่นๆ สุกรอาจจะติดโรคได้โดยไม่แสดงอาการ เชื้อไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดโรคที่มีลักษณะแตกต่างกันคือ โบวาย ไวรัส ไดอะเรีย (BVD) มีลักษณะเป็นแบบไม่แสดงอาการรุนแรง และมิวโคซอลดิซีส (MD) เป็นรุนแรงถึงตาย โรคนี้มีผลให้สัตว์เกิดความผิดปกติแต่กำเนิด โดยเฉพาะในลูกโค รวมทั้งทำให้เกิดปัญหาผสมไม่ติดในแม่โค และการกดการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย นอกจากลักษณะความรุนแรงของโรคที่แตกต่างกันแล้ว อัตราการเกิดและตายของทั้งสองโรคในโคก็แตกต่างกัน โดยที่บีวีดี (BVD) มีอัตราการเกิดโรคสูง (80-10%) แต่อัตราการตายต่ำ (0-2%) ในขณะที่เอ็มดี (MD) มีอัตราการเกิดโรคต่ำ (5-10%) แต่อัตราการตายสูง (90-100%)
โรคนี้พบได้ในประเทศที่มีการเลี้ยงโคมาก สำหรับในประเทศไทยจากการศึกษาของสุณีย์รัตน์และคณะ (2535) โดยการสุ่มเก็บตัวอย่างจากถังน้ำนม (Bulk tank milk) ตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อบีวีดี (BVD) โดยใช้วิธีอีไลซ่า พบว่าให้ผลลบต่อโรคนี้ 153 ตัวอย่าง (95.6%) มีเพียง 7 ตัวอย่าง (4.4%) ที่พบแอนติบอดีในระดับต่ำต่อโรคนี้ จากตัวอย่างถังนมรวม 160 ตัวอย่างสาเหตุ
เกิดจากโบวาย ไวรัส ไดอะเรีย ไวรัสบีวีดีวี (bovine virus diarrhea virus =BVDV) ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่มเพสติไวรัส (pestivirus) เชื้อชนิดนี้มีความใกล้เคียงกับไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคอหิวาต์สุกร
การติดต่อ
โคจะติดเชื้อ BVDV ได้จากการสัมผัสโดยตรงและโดยผ่านทางรก ที่พบส่วนใหญ่ คือสัตว์ที่มีการติดเชื้อโดยไม่ปรากฏอาการรุนแรง เป็นตัวแพร่เชื้อให้กับตัวที่ไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อนี้ หากมีการติดเชื้อในโคที่ตั้งท้องที่ไม่มีแอนติบอดีต่อโรคนี้ก็ทำให้เกิดการแท้งได้ หรือผสมไม่ติด หรือลูกตายหลังคลอด รวมไปถึงคลอดลูกที่ผิดปกติแต่กำเนิด แคระแกร็น มีรายงานการศึกษาการติดเชื้อ BVDV ในฝูงโคนม จำนวน 200 ตัว พบว่าลูกโค 16% ตายด้วยอาการปอดบวม นอกจากนี้ในระยะเวลา 2 ปี หลังจากมีการติดเชื้อ พบว่าอัตราการเกิดท้องเสีย แท้ง ลูกคลอดออกมาผิดปกติเพิ่มมากขึ้น
สำหรับการติดต่อผ่านทางรกนั้น ลูกในท้องในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งท้องไวต่อการติดเชื้อมากที่สุดหากแม่โคติดเชื้อในช่วงนี้ลูกในท้องมักตายเป็นผลให้แม่โคผสมไม่ติดตามมา การติดเชื้อในช่วงถัดมามีผลให้แท้งและคลอดลูกออกมาตาย บางกรณีลูกโคอาจจะรอดชีวิต แต่จะไม่แข็งแรง น้ำหนักน้อยและท่าเดินผิดปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากการเกิดวิการที่สมอง ลูกโคอาจมีอาการตาเป็นต้อ และมีวิการที่ผิวหนังอาการ
บีวีดี มักเป็นแบบไม่แสดงอาการรุนแรง (inapparent or subclinical)
- มีไข้ต่ำๆ เม็ดเลือดขาวต่ำ (leucopenia)
- ท้องเสียไม่รุนแรง
- ระยะฟักตัว 5-8 วันระยะการเกิดโรค 7-18 วัน จากนั้นสัตว์ก็จะสร้างแอนติบอดีขึ้นมา
เอ็มดี แบ่งเป็นแบบเฉียบพลัน และเรื้อรังแบบเฉียบพลัน
- ซึม เบื่ออาหาร น้ำลายไหล ขนรอบปากเปียกชุม
- มีไข้ 104-105๐F
- ถ่ายเป็นน้ำ มักเป็นหลังแสดงอาการได้ 2-4 วัน อุจจาระอาจมีมูกเลือด
- เกิดการลอกหลุดของเยื่อเมือกในปาก ทำให้เกิดเนื้อตายขึ้น การลอกหลุดอาจเกิดที่ผนังด้านในริมฝีปาก เหงือกและเพดานปาก
- ส่วนปลายจมูก (muzzle) อาจเกิดเนื้อตาย และเกิดเป็นสะเก็ดแห้ง
- อาจมีน้ำมูกข้น น้ำตาลไหล
- กีบอักเสบและผิวหนังบริเวณร่องกีบ (interdigital cleft) ลอกหลุด มักเกิดกับขาทั้ง 4 ข้าง
- อ่อนเพลีย ร่างกายขาดน้ำและตายหลังแสดงอาการได้ 5-7 วันแบบเรื้อรัง
รายที่เกิดแบบเฉียบพลัน บางตัวที่ไม่ตายจะกลับเป็นแบบเรื้อรัง
- ท้องเสียเป็นๆ หายๆ
- เบื่ออาหาร ขนหยาบแห้ง
- ท้องอืด (bloat)
- กีบผิดรูปไป
- เกิดการลอกหลุดอย่างเรื้อรังในช่องปากและตามผิวหนัง
- เกิดสะเก็ดแห้งตามบริเวณที่เกิดการลอกหลุดของผิวหนัง เช่น รอบๆ อัณฑะ ปลายท่อปัสสาวะ อวัยวะเพศเมีย และร่องระหว่างกีบ (interdigital cleft)
- ระยะเวลาของโรคนาน 14-21 วัน บางตัวอาจกินเวลาเป็นเดือนการตรวจวินิจฉัย
1) ตรวจหาเชื้อไวรัส
ในกรณีที่สัตว์มีชีวิต สามารถตรวจหาเชื้อไวรัสได้จากน้ำมูก (oropharyngeal fluid) น้ำตา อุจจาระ ปัสสาวะ เลือด ซีรั่ม น้ำเชื้อ น้ำนมและส่วนเม็ดเลือดขาว
ในกรณีที่สัตว์ตาย อวัยวะที่ควรเก็บแยกเชื้อไวรัสคือ ม้าม ปอด ลำไส้ส่วนใกล้ทวารหนัก (rectum) ทอนซิล ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอและลำไส้ ตัวอย่างที่ส่งตรวจควรแช่เย็นและส่งห้องปฏิบัติการโดยเร็ว2) ตรวจหาแอนติบอดี
วิธีที่ใช้เป็นมาตรฐาน คือ ไวรัส นิวทรอลไลเซชั่น เทสท์ (virus neutrallzat test)การควบคุมและป้องกัน
วัคซีนของโรคนี้มีทั้งชนิดเชื้อเป็นและเชื้อตาย ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้สูงลูกสัตว์ควรได้รับวัคซีนตั้งแต่อายุ 2-4 สัปดาห์ และฉีดซ้ำเมื่ออายุ 6-8 เดือน หลังจากนั้นฉีดซ้ำทุกปีไม่ควรทำวัคซีนเชื้อเป็นในโคที่ตั้งท้องและโคสาว---------------------------------
ที่มา
ทัศนีย์ ชมภูจันทร์, มนัสนันนท์ ประสิทธิรัตน์ และมนยา เอกทัตร์ (บรรณาธิการ). 2539. คู่มือการดูแลสุขภาพโคนม" สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ. ฟันนี่พับบลิชิ่ง.
ทัศนีย์ ชมภูจันทร์, สุรีย์ ธรรมศาสตร์, ปนันท์ ธนเจริญวัชร, จิรา คงครอง และเอกรินทร์ วัฒนพลาชัยกูร (บรรณาธิการ). 2539. คู่มือมาตรฐานการชันสูตรโรคสัตว์. สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ.โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กรมปศุสัตว์