Koi Herpes Virus

สัตวแพทย์หญิงตวงทอง ปัจฉิมะศิริ
กลุ่มเชี่ยวชาญเฉพาะโรคสัตว์น้ำ สัตว์ป่า และอื่นๆ สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ

aquatic Koivirus

ที่มา : http://www.koilab.com

        โรค Koi Herpes Virus นับเป็นโรคที่สำคัญโรคหนึ่งในปลาคาร์พ เนื่องจากมีอัตราการตายสูงก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ในประเทศไทยยังไม่เคยมีรายงานการเกิดโรค แต่ก็ควรระมัดระวัง เนื่องจากมีการนำเข้าปลาคาร์พจากต่างประเทศ มีรายงานการเกิดโรคนี้ครั้งแรกในประเทศอิสราเอล ในปี 2541 จากนั้นได้แพร่ระบาดไปในหลายประเทศ ได้แก่ เบลเยี่ยม เดนมาร์ค อังกฤษ เยอรมนี เนเธอแลนด์ ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2546 ได้มีการระบาดครั้งใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นที่จังหวัด Ibaraki (ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงโตเกียว) ซึ่งข้อมูลทางการข่าวรายงานว่าปลาคาร์พตายถึง 1,124 ตัน เสียหายเป็นเงิน 280 ล้านเยนสาเหตุ
       เชื้อก่อโรคเป็นเชื้อไวรัส Herpes virus ดำรงชีวิตที่อุณหภูมิต่ำได้ดีกว่าที่อุณหภูมิสูง (ไม่เกิน 30oC) โรคมักเกิดที่อุณหภูมิระหว่าง 18o - 28oC นอกจากนี้ภาวะความเครียดต่างๆ เช่น การขนส่ง การติดเชื้อปาราสิต และคุณภาพน้ำที่ไม่ดี จะบทบาทสำคัญที่จะช่วยเสริมให้เกิดโรคได้ง่ายขึ้น

การก่อโรค และอาการ

      ส่วนใหญ่ปลาจะได้รับเชื้อจากการสัมผัสปลาป่วยด้วยกัน อาจมีบ้างที่ได้รับเชื้อจากน้ำหรืออุปกรณ์บางชนิด เช่น ตาข่าย ปลาคาร์พที่ได้รับเชื้อมีทั้งที่ตาย หายป่วย และเป็นพาหะ (พาหะ หมายถึงติดเชื้อแล้วไม่ป่วย แต่จะแพร่เชื้อออกมาเป็นระยะเวลานาน) นอกจากนี้ปลาบางตัวก็ไม่ติดเชื้อ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเพิ่มจำนวน และทำลายเซลล์บุผิว โดยเฉพาะที่ผิวหนังและเหงือก ทำให้มีการหลั่งเมือกมาก และเซลล์ของเหงือกตาย เหงือกจะมีสีแดงจัดและมีหย่อมสีขาวแทรกอยู่ เป็นผลให้ปลาอ่อนแรง ไม่กินอาหาร ตาจมลึก ขาดอากาศ และตายอย่างช้าๆ อาจเป็นสัปดาห์ อัตราการตายสูงถึง 50-100%

การรักษา
      ไม่มีการรักษาโรคนี้ได้ผลโดยตรง เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัส มีเพียงการรักษาภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อปาราสิต ยาดังกล่าวได้แก่
- คลอรามีนที หรืออาจใช้ด่างทับทิมในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียที่เหงือก ควบคุมเชื้อราและเชื้อปาราสิต และอาจช่วยลดจำนวนเชื้อไวรัสในน้ำได้บ้าง
- ยาปฏิชีวนะสำหรับรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียภายใน
- เกลือช่วยลดภาวะบวมน้ำ
- วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค

การป้องกัน

       การแยกเลี้ยงปลา (การกักกันปลา) ที่นำเข้ามาใหม่ ก่อนนำรวมลงบ่อ ยังคงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ - 3 เดือน (ยิ่งนานยิ่งดี) นอกจากนี้ควรใช้ยาฆ่าเชื้อในน้ำ เช่น ด่างทับทิม เป็นต้น
อุณหภูมิและค่าความเป็นกรดด่างของน้ำในบ่อกักควรใกล้เคียงกันกับน้ำที่ปลาเคยอยู่ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามถ้าไม่สามารถทำได้ก็ควรรักษาอุณหภูมิให้ใกล้เคียงไว้ และต้องจำไว้เสมอว่าปลาจะทนโรคได้ดีกว่าในน้ำที่ค่อนข้างอุ่นกว่า
การขนส่งปลาควรใส่ถุงแยกแต่ละตัว มีน้ำและออกซิเจนพอเพียง ก่อนปล่อยลงควรลอยถุงดังกล่าวไว้ในถังกักหรือบ่อกัก ประมาณ 20 - 30 นาที เพื่อปรับให้อุณหภูมิเท่ากันก่อน งดอาหารปลาในช่วง 2 - 3 วันแรก จากนั้นจึงเริ่มให้อาหารวันละ 2 ครั้ง ในกรณีที่ปลาหิวอาจให้ก่อนก็ได้ ในช่วงระยะกักควรดูแลเรื่องความสะอาดของน้ำเป็นอย่างดีด้วย ควรถ่ายน้ำทุกวัน อย่างน้อย 10%

การวินิจฉัยโรค

        มีหลายวิธี ได้แก่
- วิธี Polymerase Chain Reaction (PCR) โดยการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมของไวรัส แล้วตรวจจับด้วยสารพันธุกรรมที่จำเพาะกับเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุ
- วิธีเพาะแยกเชื้อไวรัส (virus isolation) ใน koi fin (KF-1) cells ที่อุณหภูมิ 20oC
- วิธีอิมมูโนฮีสโตเค็มมีสตรี (Immunohistochemistry) ใช้แอนติบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อไวรัสในการตรวจหาเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุในเนื้อเยื่อของปลา
- วิธีอินไซตูไฮบริไดเซชั่น (In situ hybridisation) โดยการใช้สารพันธุกรรมที่จำเพาะกับเชื้อไวรัสเข้าไปเกาะกับสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสในเนื้อเยื่อของปลา


ค้นหา แปลและเรียบเรียงจาก
http://www.barsons.com/khv.htm
EU workshop on Diagnostic Techniques with Special Emphasis on Carp Disease, Cefas, United Kingdom, 2-4 June 2003.