การวินิจฉัยและป้องกันรักษาโรคท้องเสียในสุกร

รองศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.กิจจา อุไรรงค์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

              ปัญหาท้องเสียเป็นปัญหาที่พบบ่อยมากในสภาพการเลี้ยงสุกรในระดับฟาร์ม เป็นปัญหาที่พบควบคู่และใกล้เคียงกันกับปัญหากลุ่มปอดอักเสบหรือหอบไอ จะมีข้อแตกต่างกับบ้างตรงช่วงอายุหรือขนาดน้ำหนักที่ตัวเกิดโรค ปัญหาท้องร่วงพบส่วนใหญ่ในลูกสุกรดูดนมและสุกรอนุบาล มนขณะที่สุกรเล็กหรือสุกรพบได้ประปราย ยกเว้นเมื่อเกิดการระบาดของโรคบ้างโรค เช่น โรคบิดมูกเลือด (swine dysentery ) หรือโรคพีไอเอ-คอมเพล็กซ์ (PIA- complex) ส่วนโรคหอบไอจะเป็นปัญหาที่พบได้แทบจะเป็นปกติในสุกรเล็กและลูกสุกรขุน ในฟาร์มส่วนใหญ่ที่ไม่มีมาตราในการควบคุมป้องกันกลุ่มโรคนี้อย่างเป็นระบบ ในขณะที่วุกรดูดนมจะเป็นช่วงที่แทบไม่พบอาการของโรคปอดให้เห็น ยกเว้นช่วงเกิดการระบาดของโรคไวรัสบางชนิด เช่น โรคพีอาร์เอส (PRRS) โรคพิษสุนัขบ้าเทียม (pseudorabies) และโรคไขหวัดใหญ่ในสุกร ( swine infuenza)

 แนวทางการวินิจฉัยกลุ่มโรคท้องเสียในสุกร
ข้อมูลทางระบาดวิทยา ข้อมูลทางคลินิกจาการตรวจสภาพการป่วยและข้อมูลจากการชันสูตรซาก และการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคทั้งสิ้น ข้อมูลหลัก ๆ ที่เป็นประโยชน์ได้แก่

1.ช่วงอายุการป่วย

ช่วงอายการป่วย เป็นข้อมูลแรกที่เป็นประโยชน์ประกอบการวินิจฉัย ด้วยโรคแต่ละชนิดที่ก่อให้เกิดปัญหาท้องร่วงจะทำให้สุกรได้เร็วหรือช้าต่างกัน ขึ้นกับระยะฟักตัวของโรค ขึ้นอยู่กับความคุ้มโรคที่ลูกสุกรได้รับจากแม่ทางน้ำเหลือง (colostrum) และขึ้นกับช่วงจังหวะที่สุกรได้รับเชื้อเข้าไปจำนวนมาก ๆ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับระบบการจัดการในแต่ละฟาร์มด้วย ข้อสำคัญผู้ทำการวินิจฉัยควรจะต้องมีความรู้ความเข้าใจถึงกลไกการก่อโรคของโรคกลุ่มท้องเสียต่าง ๆ เป็นอย่างดี แนวทางการวินิจฉัยโดยอาศัยช่วงอายุของสุกรได้แก่
1.1 โรคที่เกิดจาการติดเชื้อ อี.โคไล (colibacillosis) ได้แก่ ปัญหาท้องเสียในสุกรดูดนมและสุกรหลังหย่านม (piglets scour and postweaning diarrhea) โรคบวมน้ำ (edema disease) จะเป็นปัญหาที่พบเฉพาะในสุกรดูดนม (อาจท้องเสียได้ภายใน 1-2 วันหลังเกิด) และสุกรหลังหย่านม อายุไม่เกิน 6 สัปดาห์
1.2 โรคบิด (coccidiosis) จะทำให้เกิดอาการท้องเสียในลูกสุกรอายุประมาณ 5-7 วัน หรืออย่างช้าที่สุดไม่เกิน 10 วัน ข้อสังเกตสำคัญคือมีโอกาสพบเป็นสาเหตุท้องเสียในลูกสุกรดูดนมสูงมากในฟาร์มที่มีโรงเรือนคลอดอยู๋กับพื้อนและมีหนูชุกชุม
1.3 โรคลำไส้อักเสบจากเชื้อคลอสทริเดียม (clostridial enteritis) ทำให้เกิดท้องเสียในลูกสุกรดูดนมเท่านั้นฟาร์มที่มีการเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้คือ ฟาร์มที่ตัดหรือถอนหญ้าให้แม่กินก่อนคลอด หรือใช้ฟางเป็นสิ่งปูรองในซองคลอด
1.4 โรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบติดต่อ หรือ ทีจีอี (transmissble gastroenteritis) ทำให้เกิดท้องเสียอย่างรุนแรงในลูกสุกรดูดนม รวมทั้งสุกรอื่น ๆในช่วงเกิดการระบาด สุกรจะเริ่มท้องเสียเร็วมากภายในไม่เกิน 2 วัน หลังเกิด ปัจจุบันพบได้ไม่บ่อยหนัก ยกเว้นในช่วงฤดูหนาวอาจพบการระบาดในบางพื้นที่ได้ประปราย ฟาณ์มที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้คือฟาณ์มที่สั่งสุกรพันธ์จากต่างประเทศเข้ามา
1.5 โรคท้องร่วงติดต่อในสุกรหรือพีอีดี (porcine epidemic diarrhea) ลักษณะการเกิดโรคใกล้เคียงกับโรคทีจีอี แต่ความรุนแรงน้อยกว่ามาก การเกิดโรคในปัจจุบันรวมทั้งฟาร์มที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเช่นเดียวกับโรคทีจีอี
1.6 โรคท้องร่วงจาดเชื้อโปรโตชัว Balantidium coli (Balantidialcolitis) เป็นสาเหตุท้องร่วงในลุกรอนุบาลและ /หรืแในลุกรเล็ก ส่วยใหญ่เกิดจากแหล่งน้ำที่ใช้ค่อนข้างสกปรกและมีอัตราการปนเปื้อนด้วยเชื้อโปรโตซัวตัวนี้ค่อนข้างสูง ที่สำคัญเชื้อตัวนี้มักพบเป็นตัวแทรกซ้อนกรณ๊เกิดปัญหาท้องร่วงที่รุนแรงและเรื้อรัง เช่น ปัญหาท้องร่วงเรื้อรังจากโรคอหิวาต์สุกร (classical swine fever) โรคซัลโมเนลโลซิส (salmonellosis) และโรคบิดมูกเลือด
1.7 โรคบิดมูกเลือด (swine dysentery) ทำให้เกิดท้องเสียร่วงในสุกรและสุกรขุน และมักก่อให้เกิดปัญหาท้องร่วงเรื้อรังในลักษณะวนเวียนตลอดเวลาจาการติดเชื้อซ้ำซ้อน ฟาณืมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้คือ ฟาร์มที่มีระบบการสุขาภิบาลไม่ดี โดยเฉพาะระบบน้ำเสีย ปัญหาแมลงวันมาก รวมทั้งแหล่งน้ำที่ใช้ค่อนข้างสกปรก
1.8 โรคพีไอเอ-คอมเพล็กซ์ (PIA-Complex) เป็นโรคที่ค่อนข้างเป็นปัญหามากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในฟาร์มที่มีสุขภาพโดยรวมค่อนข้างดี (high health status farm) โรคนี้ทำให้เกิดโรคหลุ่มท้องร่วงได้ในสุกรทุกช่วงอายุโดยมีรูปแบบของโรคแตกต่าง เป็นสาเหตุของท้องเสียในสุกรใกล้หย่านมหรือหลังหย่านม (สุกรอนุบาล) ในลักษณะถ่ายเหลว สีค่อนข่างคล้ำและก่อให้เกิดปัญหาการแคระแกร็นสูงมาก นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของการถ่ายเลือดและช็อดตายในสุกรขุนระยะท้าย และในสุกรกลุ่มทดแทน โดยสุกรป่วยจะถ่ายเหลวสีดำคล้ายน้ำมันดิบ (บางครั้งพบเศษเนื้อตายสีน้ำตาลแกรมเหลืองปะปนออกมา) และมีกลิ่นคาวจัด

2. ลักษณะของอุจจาระและลักษณะทางคลินิกอื่น ๆ

ลักษระของอุจจาระมีส่วนช่วยประกอบการวินิจฉัยเมื่อพิจารณาร่วมกับลักษณะทางคลินิกอื่น ๆ จะเป็นประโยชน์มากในการวินิจฉัยโรคขั้นต้น (tentative diagnosis) เพื่อให้การบำบัดรักษา เนื่องจากการแก้ไขปัญหาที่เกิดในระดับฟาร์มนั้นจะรอผลการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการก่อนไม่ได้เพราะปัญหาบางเรื่องนั้นจะสร้างความเสียหายอย่างมากมายได้ถ้าทิ้ง่วงเวลานานเกินไป ตัวอย่างแนวทางการินิจฉัยได้แก่
2.1 อุจจาระเหลวเป็นสีเหลืองแกมเขียวและกลิ่นค่อนข้างคาว ส่วนใหญ่เป็นลักษณะท้องเสียจากเชื้อไวัสเช่น กรณีของท้องเสียจากโรคทีจีอี โรคพีอีดี และท้องเสียจากเชื้อโรทาไวรัส (Rotavirus) ที่สำคัญท้องเสียจากเชื้อไวรัสส่วนใหญ่จะมีอาการอาเจียนร่วมด้วยเสมอ จากกระเพาะอาหารอักเสบในบางโรคและจากภาวะร่างกายเกิดกรดจากการสูญเสียน้ำและสภาพความเป็นด่างจากท้องเสียที่รุนแรง ท้องเสียจะเกิดขึ้นเร็วมากหลังเกิด และแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในโรงเรือน
2.2 อุจจาระเหลวเป็นครีมสีน้ำตาลแกรมเหลือง เป็นลักษณะท้องร่วงจากเชื้อ อี. โคไล โดยทั่วไป แต่ในกรณีที่มีการติดเชื้อไวรัสโรทาร่วมด้วย หรือกรณีที่เกิดจากเชื้อ อี. โคไล ที่รุนแรง (hemolytic E. coli ) ลักษณะของอุจจาระจะใกล้เคียงมากกับกรณีของไวรัส และมักจะมีการอาเจียนร่วมด้วยเช่นกัน โดยปกติแล้วสุกรบางตัวในครอกท้องเสียก่อน แล้วทำให้สุกรบางตัวในครอกท้องเสียเช่นกัน แล้วทำให้สกรที่เหลือทั้งหมดและครอกใกล้เคียงท้องเสียตามอย่างรวดเร็ว
2.3 อุจจาระเหลวสีน้ำตาลแกมเขียว ถ่านสีคล้ำหรือมีเลือดปน เป็นลักษณะท้องร่วงจากเชื้อบิด (coccidiosis) ซึ่งมีลักษณะทางคลินิกที่สำคัญคือ จะเริ่มท้องเสียเมื่ออายุได้ประมาณ 5-7 วัน และเป็นกับสุกรบางตัว (ตัวที่ค่อนข้างสมบูรณ์) ในครอก ถึงที่สุดแล้วพบว่าไม่ทำให้สุกรทั้งหมดในครอกท้องเสียได้
2.4 อุจจาระเหลวสีน้ำตาลแกมเหลือง หรือสีคล้ำดำ และลักษณะอาหารไม่ย่อย เป็นลักษณะท้องเสียที่เกิดจากโรคพีไอเอ-คอมเพล็กซ์ (รูปแบบที่ไม่มีเลือดออกในลำไส้) ซึ่งพบได้ในสุกรหลังหย่านมและสุกรเล็ก–ขุน นอกจากนี้อาจพบได้ในท้องร่วงจากเชื้อซัลโมเนลโลซิส (enterocolitis-salmonellosis)
2.5 อุจจาระเหลวสีดำเหทือนน้ำมันดิบและมีกลิ่นคาวจัดเป็นลักษณะท้องเสียจาการถ่ายเป็นเลือดเนื่องจากโรคพีไอเอ-คอมเพล็กซ์ (รูปแบบที่มีเลือดออกในลำไส้เล็ก) ซึ่งพบในสุกรระยะท้ายและในสุกรพันธุ์ช่วงทดแทนนอกจากนี้ยังได้จากแผลเปื่อยในกระเพาะอาหาร (gastric ulcer) ซึ่งกรณีหลังนี้มีโอกาสสูงที่จะพบการอาเจียนเป็นเลือดร่วมด้วย

3. ลักษณะของวิการ
การตรวจสอบวิการในส่วนของกระเพาะและลำไส้ของสุกรป่วยที่ตาย เป็นส่วนที่เป็ตประโยชน์อย่างมากในการวินิจฉัยโรคระดับฟาร์ม เพราะจะมีสุกรป่วยที่ตายจำนวนมากให้ตรวจสอบวิการ แนวทางวินิจฉัยได้แก่

3.1 ลำไส้อักเสบ มีเลือดคั่ง ภายในโพรงลำไส้มีสารน้ำสีเหลือง หรือสีน้ำซาวข้าว เป็นลักษณะของท้องเสียจาการติดเชื้อ อี. โคไล บางรายอาจพบลักษณะการบวมน้ำในส่วนของเยื่อแขวนลำไส้ (mesentery )และที่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังทั่วไป
3.2 ลำไส้เล็กอักเสบเป็นเนื้อตายลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาลแกรมเหลืองที่ลำไส้ส่วนกลาง (jejunum) และส่วนปลาย (lieum) เป็นลักษณะที่พบในโรคบิด (coccidiosis) ซึ่งเป็นกับสุกรดูดนมเท่านั้น
3.3 ลำไส้อักเสบมีเลือดออกอย่างรุนแรง บางส่วนถึงขั้นเป็นเนื้อตาย และมีสภาพของฟองแก๊สแทรกซึมทั่วไปในส่วนของลำไส้ที่อักเสบ เป็นลักษณะที่พบในกรณีท้องเสียจากเชื้อครอสทริเดียม และพบในสุกรดูดนมเท่านั้น
3.4 ลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) เป็นเนื้อตาย มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาลแกรมเหลืองปกคลุมลำไส้เล็กส่วนปลายและบางส่วนของลำไส้ส่วนโคลอน (colon) เป็นลักษณะที่พบในกรณีท้องเสียจากโรคพีไอเอ-คอมเพล็กซ์ รูปแบบที่ไม่มีเลือดออก แต่ถ้าเป็นรูปแบบที่มีเลือดออก จะพบกรลอกหลุดของแผ่นเนื้อตายบางส่วนและมีเลือดออกแทรกซึมและปนเปื้อนอยู่ทั้วไปตลอดแนวลำไส้ ในรายที่เริ่มเป็น (โรคพีไอเอ) จะพบการหนาตัวของลำไส้เล็กส่วนปลาย และมีหย่อมเลือดออกเล็ดน้อยเป็นช่วง ๆ ตลอดแนว
3.5 มีเลือดปนเปื้อนผนังลำไส้ด้านในตลอดแนว โดยไม่มีการผิดปกติของเยื่อเมือกลำไส้ เป็นลักษณะที่พบในกรณีแผลเลือดออกในกระเพาะอาหาร ทั้งนี้จะพบก้อนเลือดที่แข็งตัวและแผลหลุม (ulcer) ในกระเพาะอาหาร

แนวทางการป้องกันรักษาโรคท้องเสียในสุกร
เนื่องจากการเลี้ยงสุกรในปัจจุบันเป็นลักษณะอุตสาหกรรม การควบคุมป้องกันโรคจึงเป็นมาตราการที่จำเป็นและคุ้มค่าและป้องกันในระดับฟาร์มต้องมีการเรียนรู้และวิเคราะห์ว่ากลุ่มโรคใดบ้าง ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงในฟาร์มส่วนใหญ่หรือเป็นเฉพาะในบางฟาร์ม อีทั้งจะต้องเรียนรู้กลไกการก่อโรคของโรคเหล่านั้นเป็นอย่างดี นอกเหนือจากความรู้เรื่องโรคแล้ว ผู้วางแผนในการควบคุมหรือป้องกันปัญหาาจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องของการจัดฟาร์ม การจัดสุขภาพ และเรื่องของโภชนาการเป็นอย่างดี แนวทางการควบคุมป้องกันที่สำคัญ ได้แก่

1. การจัดการลูกสุกรแรกเกิด
การจัดการลูกสุกรในช่วงแรกเกิด เป็นมาตราการจัดการในฟาร์มที่สำคัญยิ่งในการป้องกันท้องเสียของลูกสุกรดูดนมที่เกิดจากแบคทีเรียและไวรัสที่พบเป็นปกติในฟาร์มทั่วไปและทั่วโลก ได้แก่ เชื้อ E. coli และโรทาไวรัส การจัดการที่ดีคือการจัดการที่เน้นให้ลูกสุกรได้รับภูมิคุ้มกันจากน้ำเหลืองอย่างเต็มที่ตั้งแต่แรกเกิดรวมทั้งการล้าง ฆ่าเชื้อและพักซองคลอดอย่างเป็นระบบแนวทางการจัดการลูกสุกรช่วงแรกเกิด คือ
1.1 อาจกรอกยาให้ลูกสุกรแรกเกิดในช่วงหลังการตัดเขึ้ยว (วันที่ 2 ของการคลอด) ด้วยยาป้องกันท้องร่วงจากเชื้อ อี. โคไล ในขนาดสูง เช่น colistin ในรูปละลายน้ำโดยทั่วไปแล้วมาตรานี้ถือว่าไม่จะจำเป็นในฟาร์มที่มีการจัดการแม่สุกรช่วงสุกรก่อนและหลังคลอดได้ดี แต่จะเป็นมาตรการที่ดีในการควบคุมปัญหาท้องร่วงในเล้าคลอดหรือในฟาร์มที่ยังมีข้อบกพร่องในหารจัดการเล้าคลอดได้ดี
1.2 ในวันที่ 4 หลังการคลอด ให้ฉีดธาตุเหล็กตามขนาด (ประมาณ ตัวละ 1-2 มล.) เข้ากล้ามเนื้อบริเวณโคนกกหู
1.3 กรณีแม่ลูกดก หรือมีแม่แก่เข้าคลอดมาก ๆ ให้ทำการจัดชุดแยกลูกเล็กตัวเล็ก ๆ ไว้ให้แม่บางตัวเลี้ยงต่างหาากโดยเน้นการดูแลเอาใจใส่และให้การช่วยเหลือลูกสุกรเหล่านี้ให้ได้รับการกินน้ำนมแม่เป็นพิเศษ และห้ามดัดหูตัดหางลูกสุกรเหล่านั้น จนหว่าลูกจะแข็งแรงพอ โดยทั่วไปแล้วพอกำหนดให้ทำการตัดหูตัดหางและตัดเขี้ยวในวันที่ 2 หลังการคลอด
1.4 ในฟาร์มที่มีปัญหาท้องร่วงจากเชื้อบิด (coccidiosis) เมื่อลูกอายุครบ 3 วัน ให้กรอบปากด้วยยา Byecox j ตัวละ 1 มล. ครั้งเดียว เพื่อป้องกันและควบคุมปัญหาท้องร่วงจากเชื้อบิดดังกล่าว
1.5 ในวันที่ 5-7 หลังการคลอด ให้สำรวจลูกสุกรว่ามีสภาพซีดเหลือง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อปรสิตในเลือด (Eperythrozoonosis) หรือไม่ ถ้ามีให้ฉีด oxyteracycline L.A. ประมาณ 0.2-0.3 มล. /ตัว แก่ลูกสุกรทุกตัวมรครอกที่มีปัญหา ทั้งนี้อาจะพิจารณาฉีดเป็นงานประจำให้ลูกทุกตัวในฟาร์มที่มีอายุครบ 5-7 วัน ในฤดูกาลที่มีการติดปรสิตตัวนี้มาก ๆ เช่น ฤดูฝนและฤดูหนาว
1.6 เมื่อลูกสุกรตัวใดตัวหนึ่งเริ่มท้องร่วงในซองให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
- บั้มปากลูกสุกรตัวท้องร่วงในครอกด้วยยารักษาท้องร่วง เช่น colistin , apramycin (หรือหลุ่มยาอื่น ๆ ไวต่อเชื้อ E. coli เช่น amoxycillin, enrogloxacin ) วันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น ติดต่อกันจนกว่าจะหยุด (ปกติใช้เวลา 2-3 วัน)
- อาจฉีดยา gentamicin ให้ลูกสุกรที่ท้องร่วงรุนแรง (สังเกตจากการถ่ายเหลวเป็นน้ำรุนแรง , มีกลิ่วคาวมาก,ซูบเร็ซลมีอาเจียนร่วม หรือมีการตายเกิดขึ้นจาการท้องร่วง) วันละไม่เกิด 3 วันติดกัน
- กรอกยา colistin ให้ลูกที่ยังไม่แสดงอาการท้องร่วงในครอกทุกตัวทันที 1 ครั้ง โดยไม่รอให้ท้องเสียก่อน
- พยายามล้างอุจจาระตามพื้นคอกที่เกิดจาการท้องร่วงของลูกสุกร หรืออาจใช้ปูนขาวคอยกลบอุจจาระของลูกสุกรท้องเสียโดยเร็วเป็นประจำ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
- (ในอุจจาระของลูกสุกรท้องเสีย จะมีเชื้อ E. coli ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงในลูกสุกรดูดนมและสุกรหลังหย่านม ประมาณ 1 พันล้านตัว/อุจจาระ 1 มล.)

2. การใช้ยาต้านจุลชีพในอาหาร
การผสมยาต้านจุลชีพในอาหาร เป็นวิธีการควบคุมหรือป้องกันการติดเชื้อที่สำคัญในระดับฟาร์ม โดยมุ่งหวังให้ลูกสุกรเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างปลอดเชื้อโรคที่สำคัญ ทำให้เลี้ยงง่าย มีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี และไม่ต้องใช้ยาต้านชีพในช่วงการขุน เพื่อลดปัญหาเรื่องสารตกค้างในเนื้อสัตว์ที่จะนำไปบริโภค การผสมยาต้านจุลชีพในอาหารส่วนใหญ่มุ่งหวังที่จะควบคุมหรือป้องกันโรคหอบไอและท้องร่วงในระดับฟาร์ม ตัวอย่างการใช้ยาต้านจุลชีพในอาหารได้แก่
2.1 การใช้ยาต้านจุลชีพในอาหารแม่เลี้ยงลูก เป็นการผสมยาต้านจุลชีพในอาหารแม่เลี้ยงลูกช่วง 1 สัปดาห์ก่อนคลอด ต่อเนื่องถึงหลังคลอดได้ 1-2 สัปดาห์ เป้าหมายเพื่อควบคุมหรือลดการแพร่เชื้อจากแม่สุกรไปยังลูกสุกรดูดนในซองคลอด
ตัวอย่าง ชนิดและขนาดยาในอาหาร
- Tylosin หรือ Tiamulin 100-150 ppm ควบคุมเชื้อ Mycoplasma hyopneumoniae ที่เป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไมโคพลาสมา และใช้การควบคุมเชื้อ Lawsonia intracellularis ที่เป็นสาเหตุของโรคพีไอเอ–คอมเพล็กซ์
- Amoxyxillin 150 ppm ควบคุมกลุ่มเชื้อที่จะทำให้แม่สุกรช่วงก่อนและหลังคลอดโดยเฉพาะเชื้อ Streptococci spp.
- Dimetridazole 250-500 ppm เสริมในการควบคุมเชื้อโรคพีไอเอ–คอมเพล็กซ์ ในฟาร์มที่มีปัญหารุนแรง

2.2 การใช้ยาต้านจุลชีพในอาหารเลียราง เป็นการผสมยาต้านจุลชีพในอาหารเลียราง ซึ่งจะเริ่มให้กินเมื่ออายุครบ 10 วัน และกินต่อเนื่องไปจนถึงอายุครบ 6 สัปดาห์ (หลังหย่านมได้ 2-3 สัปดาห์) การให้ยาในลักษณะนี้ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงติดโรคที่สำคัญที่สุดในฟาร์ม ถ้ามีการตรวจสอบและวิเคราะห์จนพบสาเหตุของโรคที่ชัดเจนในฟาร์ม และในการใช้ยาที่ตรงกับโรคนั้น ๆ จะมีผลทำให้สุกรอนุบาลและสุกรเล็ก-ขุน ทีสุขภาพที่สมบูรณ์อย่างยิ่ง
ตัวอย่างชนิดและขนาดยาในอาหาร
-Tylosin หรือ Tiamulin 150-200 ppm ควบคุมเชื้อ Mycoplasma hyopneumoniae ที่เป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไมโคพลาสมา และใช้การควบคุมเชื้อ Lawsonia intracellularis ที่เป็นสาเหตุของโรคพีไอเอ–คอมเพล็กซ์
- Amoxyxillin 150 ppm ควบคุมกลุ่มเชื้อกลุ่มข้ออักเสบและเชื้อ Streptococcus suis ที่เป็นสาเหตุของโรคไข้สมองอักเสบ
- Colistin หรือ Apramycin 150-200 ppm ควบคุมปัญหาท้องร่วงจากเชื้อ E. coli

2.3 การใช้ยาต้านจุลชีพในอาหารอนุบาล เป็นการผสมยาจุลชีพในอาหารอนุบาลในขนาดป้องกันโรคแทรกซ้อนทั่วๆ ไป หรือเป็นการให้ยาในลักษณะการะตุ้นการเจริญเติบโต (growth promotor) เป็นการผสมยาในอาหารให้กินตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ ต่อเนื่องจนถึงย้ายเข้าเล้าสุกรขุนที่อายุ ประมาณ 8-10 สัปดาห์
ตัวอย่างชนิดและขนาดยาในอาหาร
- Tylosin หรือ Tiamulin 100-150 ppm ควบคุมเชื้อ Mycoplasma hyopneumoniae ที่เป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไมโคพลาสมา และใช้การควบคุมเชื้อ Lawsonia intracellularis ที่เป็นสาเหตุของโรคพีไอเอ–คอมเพล็กซ์
- Amoxyxillin 150 ppm ควบคุมกลุ่มเชื้อกลุ่มข้ออักเสบและเชื้อ Streptococcus suis ที่เป็นสาเหตุของโรคไข้สมองอักเสบ และโรคแทรกซ้อนทั่วไป
- Arsanilic acid 100 ppm ควบคุมเชื้อปรสิตในเลือด Eperythrozoon suis

ที่มา : เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการเรื่อง "โรคสำคัญที่เป็นปัญหาในระบบทางเดินอาหารสุกร" สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ, 2541