โรคที่เป็นสาเหตุของการถ่ายดำหรือถ่ายเป็นเลือด
โรคที่เป็นสาเหตุสำคัญของกลุ่มปัญหานี้มีหลายชนิด และมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องความรุนแรงของโรคและลักษณะของฟาร์มที่เกิดโรค ที่พบอุบัติการณ์ในการเลี้ยงระดับฟาร์มในประเทศ ได้แก่ โรคลำไส้อักเสบแบบเนื้อตายหรือลำไส้อักเสบจาการติดเอคลอสทริเดียม ( Necrotizing or Clostridial Enteritis) โรคบิดมูกเลือด (Swine Dysentery) กลุ่มโรคพีไอเอคอมเพล็กซ์ (PIA- Complex) และโรคแผลเลือดออกในกระเพาะอาหาร (Gastric Hemorrhage or Gasstric Ulcer)
ลักษณะการก่อโรคและลักษณะทางคลินิกที่สำคัญ
1. โรคลำไส้อักเสบแบบเป็นเนื้อตาย (Necrotizing Enteritis)
เป็นโรคที่เกิดจากกาติดเชื้อในกลุ่มคลอสทิเดียม (Clostridium) ชนิดหนึ่ง คือ Clostridium perfringen type C โดยเชื้อแบคทีเรียตัวนี้ส่วนใหญ่จะทำให้ลูกสุกรแรกเกิดในช่วงสัปดาห์แรกป่วยเป็นโรค แต่การระบาดของโรคอย่างรุนแรงอาจเกิดได้กับสุกรทุกช่วงอายุที่อยู่กับแม่ในซองคลอด อาจพบสุกรในครอกเดียวกันป่วยและตายหมดภายในไม่กี่ชัวโมงหลังเริ่มพบอาการท้องร่วงที่เกิดจากโรคนี้ โดยทั่วไปจะพบอัตราการตายของลูกสุกรในช่วงการระบาดประมาณ 50 % หรือมากกว่านั้น
ลูกสุกรติดโรคจากการกินเชื้อที่ปบเปื้อนในอุจจาระตามพื้นคอก หรือที่ติดอยู่ตามเต้านมของแม่สุกร ตั้งแต่เริ่มดูดนมจากแม่ การติดเชื้อจะทำให้เกิดการอักเสบที่ค่อนข้างรุนแรงของลำไส้ส่วนกลาง (jejunum) เนื่องจากท็อกซิน { แอลฟาทอกซิน (alpha toxin) และเบต้าทอกซิน ( beta toxin)}ของเชื้อชนิดนี้สร้างขึ้นมา การอักเสบที่เกิดขึ้นจะเป็นลักษณะการตายและการลอกหลุดของเยื่อเมือกลำไส้ เลือดออกอย่างรุนแงและกระจายทั่วไป และวิการพองลมของผนังลำไส้ ทั้งนี้ลักษณะอาการทางคลินิกและความรุนแรงของโรคจะขึ้นอยู่กับรูปแบบของโรคซึ่งจำแนกได้เป็น 4 แบบ
1.1 แบบเฉียบพลัน (Peracute Form) เป็นรูปแบบที่รุนแรงที่สุด ลูกสุกรจะถ่ายเป็นเลือด อ่อนแรงอย่างรวดเร็ว และตายในที่สุด (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1-2 วัน) ทั้งนี้บางรายอาจจะตายอย่างเฉียบโดยไม่ทันแสดงอาการผิดปกติใด ๆ ให้เห็น
1.2 แบบปัจจุบัน (Acute From) ลูกสุกรจะถ่ายสีน้ำตาลคล้ำหรือมีเลือดปนบางครั้งจะพบเยื่อเมือกที่ตายและลอกหลุดปะปนออกมากับอุจจาระ และส่วยใหญ่จะตายภายในไม่เกิน 3-4 วัน
1.3 แบบเกือบปัจจุบัน (subacute Form) เป็นรูปแบบที่พบกับลูกสุกรช่วงอายุประมาณ 5-7 วัน ขึ้นไป ลูกสุกรจะถ่ายเหลวสีน้ำตาลคล้ำ และมีเนื้อตายปะปนออกมา ติดตามด้วยสภาพซูบผอม ขาดน้ำ และตายใรที่สุดถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธีและทันต่อเหตุการณ์
1.4 แบบเรื้อรัง (Chronic Form) ลูกสุกรจะแสดงอาการท้องร่วงสลับเป็นช่วง ๆ อุจจาระมีลักษณะเหลวสีน้ำตาลแกมเหลืองและมีมูกมาก ลูกสุกรจะแสดงท้องร่วงในลักษณะนี้นานเป็นสัปดาห์หรือมากกว่านั้น มีผลทำให้สุกรกลุ่มที่ป่วยนี้เป็นกลุ่มที่ถูกคัดทิ้ง (ทั้งช่วงก่อนหย่านมและหย่านม) มากที่สุดเนื่องจากการแคระแกร็น
2. กลุ่มโรคพีไอเอ–คอมเพ็กซ์ (PIA-COMPLEX)
เป็นกลุ่มโรคที่แต่เดิมเชื่อว่าเกิดจาการติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่ม “แคมพัยโลแบคเตอร์” (Campylobacter spp.) เท่าที่มีรายงานในอดีตคือเชื้อ Campylobacter sputorum Mucosalis (CSM) , Campylobacter hyointestinalis (CHI) และ Campylobacter coli/jejuni (CCO)
ปัจจุบันพบว่าสาเหตุที่แท้จริงโรคนี้ เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในเซลล์ชนิดใหม่ คือ “Lawsonia intracellularis” ทั้งนี้เป็นการตั้งชื้อให้เป็นเกียรติแก่สัตวแพทย์ (Dr. Lawson) ที่ได้ศึกษาโรคนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่องมาเป็นเวลานานจนพบสกเดตุที่แท้จริง
สุกรติดโรคจากการกินเชื้อเข้าไป และก่อให้เกิดโรคได้ตั้งแต่ช่วงหลังหย่านมขึ้นไปรวมทั้งในพ่อแม่พันธุ์ลักษณะทางคลินิกของโรคมีหลายรูปแบบด้วยกัน ซึ่งเป็นผลจาการติดเชื้อแบบเรื้อรังในส่วนของลำไส้เล็กส่วนท้าย ๆ ได้แก่ลำไส้เล็กส่วนปลาย (terminal ileum) และบางส่วนของลำไส้ส่วนซีคั่ม (cecum) ช่วงการติดเชื้อเชื่อว่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นในซองคลอด โดยแม่สุกรที่เป็นตัวอมโรคจะแพร่เชื้อปนเปื้อนออกมากับอุจจาระและปนเปื้อนในซองคลอด (สุกรสาวหรือแม่ท้องแรกๆ จะเป็นตัวแพร่โรคที่สำคัญ) ที่สำคัญมารายงานที่บ่งชี้ว่าการอักเสบของลำไส้ที่เกิดจากเชื้อ E. coli จะเป็นปัจจัยโน้มนำที่สำคัญที่เอื้ออำนวยให้การติดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคพีไอเอ–คอมเพล็กซ์เป็นไปได้ง่ายขึ้น ผลจาการที่แบคทีเรียชนิดนี้เข้าไปอยู่ในเซลล์ของเยื่อเมือกทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่บางส่วนที่อยู่ใกล้เคียงเกิดการหนาตัวและการตายของเยื่อเมือกตามมา สุกรจะแสดงอาการป่วยในลักษณะที่แตกต่างกันไปขึ้นกับ ช่วงอายุการติดเชื้อ ระยะเวลาของการติดเชื้อรวมถึงความรุนแรงหรือข้อแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกิดตามรูปแบบของโรคที่พบ ได้แก่
2.1 พีไอเอ (PIA = Porcine Intestinal Adenomatisos) เป็นผลจาการหนาตัวของเยื่อเมือกลำไส้ส่วนปลายที่เกิดขึ้นภายหลังการติดเชื้อโดยเป็นรูปแบบที่ไม่มีข้อแทรกซ้อน อาการท้องร่วงที่พบไม่จะไม่ค่อยเด่นชัด แต่จะมีอาการเบื่ออาหาร เติบโตช้า สุกรมีโอการกลับเป็นปกติช้า ๆ ภายใน 6 สัปดาห์ หรืออาจลุกลามเป็นรูปแบบอื่นต่อไป รูปแบบนี้ของโรคส่วนใหญ่จะพบเกิดกับลูกสุกรช่วงหลังหย่านมใหม่ ๆ
2.2 อาร์ไอ (RI= Regional ileitis) เป็นรูปแบบที่มีลักษณะอาการทางคลินิกใหล้เคียงมากกับพีไอเอแต่สามารถแยกความแตกต่างได้จากการตรวจสอบวิการของลำไส้ด้วยกล้องจุลทรรศ์ (histopathology) เป็นรูปแบบที่ชั้นกล้ามเนื้อของลำไส้เล็กส่วนดังกล่าวเกิดการขยายตัวมากขึ้น ร่วมกับการเกิดเนื้อเยื่อสมานมากขึ้นในชั้นใต้เยื่อเมือก รูปแบบของโรคนี้พบเกิดกับลูกสุกรหลังหย่านมขึ้นไป ลูกสุกรป่วยจะแสดงอาการท้องร่วงค่อนข้างรุนแรงและเรื้อรัง อุจจาระเหลวสีน้ำตาลแกรมเหลืองหรือเทา (มักพบลักษณะของอาหารไม่ค่อยย่อย) และอาจพบรุนแรงมากขึ้นถึงขั้นถ่ายดำเป็นเลือดเหมือนน้ำมันดิบ (black tarry feces) ได้ลูกสุกรจะมีสภาพแคระแกร็นและทรุดโทรมมาก
2.3 เอ็นดี (NE = Necrotic Enteritis) เป็นรูปแบบของโรคที่รุนแรงกว่าสองแบบแรก โดยเมื่อเมือกของลำไส้ที่หนาตัวจะเกิดการตายและเกิดดารลอกหลุดตามมา สุกรจะแสดงอาการป่วยและท้องร่วงเหมือนโรคอาร์ไอ แต่อาจพบเศษเยื่อที่ตายลอกหลุดปะปนออกมากับอุจจาระให้เห็น รูปแบบนี้ของโรคได้ในสุกรทุกช่วงอายุตั้งแต่หลังหย่านม รวมถึงกลุ่มสุกรทดแทนและสุกรพ่แม่พันธุ์
2.4 พีเอ็ชอี (PHE = Proliferative Hemorrhagic Enterophty) เป็นลักษณะข้อแทรกซ้อนที่รุนแรงของโรคเอ็นอี และพบส่วนใหญ่สุกรพ่อแม่พันธุ์กลุ่มเตรียมทดแทน หรือช่วงหลังนำเข้าใช้งานหรือร่วมฝูงได้ไม่นาน รวมทั้งในสุกรขุนระยะท้ายๆ รูปแบบของโรคเป็นผลจาการลอกหลุดของเยื่อเมือกที่หนาตัวและเกิดการตาย โดยมีการฉีกขาดของหลอดเลือดที่อยู่ด้านล่าง ทำให้สุกรป่วยแสดงอาการถ่ายเหลวเป็นเลือดสีดำคล้ายน้ำมันดินอย่างฉับพลันและตายในไม่เกิน 36-48 ชั่วโมง เนื่องจากการช็อคเพราะร่างกายขาดเลือดและโลหิตจางอย่างรุนแรง ช่วงการเกิดโคมักเป็นช่วงหลังการกระทบความเครียดค่อนข้ามาก เช่น หลังการขนส่ง หรือ หลังการย้ายโรงเรือน
3. โรคบิดมูลเลือด (SWINE DYSENTERY)
เป็นโรคที่เกิดจาการติดเชื้อแบคทีเรียจำพวก “ สไปโรดีต” (spirochaet ) ชื่อ Serpulina hyodysenteriae (ชื่อเดิม Treponema hyodysenteriae) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีความคงทนค่อนข้างสูงมากในสภาพแวดล้อมทั่ว ๆ ไปภายในฟาร์ม ส่งผลให้โรคนี้มักก่อปัญหาในลักษณะเรื้อรังเป้ฯเวลานาน ๆ ภายหลังหารระบาดในฟาร์ม โดยเฉพาะในฟาร์มที่มีข้อบกพร่องในเรื่องของการสุขาภิบาลโรคนี้พบเป็นปัญหาส่วนใหญ่ในฟาร์มสุกรขุนมากกว่า ฟาร์มสุกรพันธุ์
สุกรติดโรคโดยการกินเชื้อที่ปนเปื้อนในอาหารแนะน้ำเข้าไป โดยมีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งค่อนข้างยาวนานกว่าโรคอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้โอกาสที่จะเกิดโรคแบบเรื้อรังยาวนานกว่า 3-4 เดือนในฟาร์มสุกรขุนจึงมีสูงมาก เนื่องจากการติดเชื้อซ้ำซ้อน (reinfection) ในกลุ่มสุกรขุนจะมีอยู่ตลอดเวลา จาการรู้เท่าไม่ถึงการของผู้เลี้ยง เช่น การฉีดยารักษาสุกรป่วยเพียง 1-2 ครั้งแล้วเลิกฉีด หรือไห้ยาผสมในอาหารหรือละลายน้ำในระยะสั้นหรือในขนาดที่ต่ำกว่าเกินไป เนือ่งจากในทางปฏิบัติพบว่าสุกรที่ได้รักษาและหยุดการถ่ายเป็นมูลเลือดนั้น บางตัว ยังสามารถขับเชื้อออกมากับอุจจาระที่ดูเป็นปกติอีได้นาน 50-60 วันติดต่อกัน (เท่ากับเป็นตัวแพร่โรคที่แอบแฝงอยู่ในฝูง) ตัวเชื้อที่ปะปนออกมากับอุจจาระจะถูกนำไปปนเปื้อนในอาหารหรือน้ำโดยแมลงวันหรือหนูซึ่งเป็นพาหนะที่มีอยู่แล้วในฟาร์ม ก่อให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนหมุนเวียนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
โรคบิดมูลเลือดจะทำเกิดการอักเสบของลำไส้ใหญ่ (cloitis) เป็นผลจาการถูกทำลายของเซลล์เยื่อเมือกจากทอกซิน {(เอนดทอกซิน ( endotoxin) และ ฮีโมลัยซิน (hemolysin) ของเชื้อดังกล่าว ทำให้เกิดอาการท้องร่วงตามมาในลักษณะถ่ายเหลมสีน้ำตาลแกมทาหรือเป็นเลือด สุกรจะไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ทำให้พบอุจจาระไหลเปรอะก้นตลอดเวลา หรือแสดงอาการถ่สายพุ่งออกมาให้เห็นเป็นบางครั้ง ทั่งนี้อุจจาระจะมีมูกและลิ่มเลือดปะปนออกมาค่อนข้างชัดเจนและมีกลิ่นเหม็นคาวจัด สุกรป่วยจะซูบอย่างรวดเร็วและบริเวณสวาป (flank) จะแฟบเห็นได้ชัด อัตราการเจริญเติบโตลดลง ผิวหนังและเยื่อเมือกทั่วร่างกายค่อนข้างซีดเนื่อจากการสูญเสียเลือดอย่างต่อเนื่อง สุกรป่วยบางตัวอาจตายได้เนื่องจาการสูญเสียสารน้ำและอีเล็คโทรไลต์ (electrolyte) มากเกินไป ร่วมกับการเสียสมดุลย์กรดด่าง (acid-base balabce) ของร่างกาย ความรุนแรงของโรคอาจมากขึ้นเมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ แทรกซ้อน เช่น เชื้อ Lawsonia intracellularis ที่ทำให้เกิดโรคพีไอเอ-คอมเพล็กซ์ และเชื้อ Fusobacterium necrophorum ที่ทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่ออย่างรุนแรง
4. แผลเลือดออกภายในกระเพาะอาหาร (GASTRIC HEMORRHAGE)
เป็นโรคที่แต่เดิมเชื่อว่าไม่ได้เป็นผลจาการติดเชื้อแต่ปัจจุบันพบว่ามีแบคทีเรียบางชนิดในกระเพาะอาหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคนี้ โรคนี้มีอุบัติการณ์ค่อนข้างมากในสุกรสารพันธุ์ที่ค่อนข้างไวต่อความเครียด (ส่วนใหญ่จะสัมพันธุ์กับสายพันธ์ที่เจริญเติบโตเร็วหรือมีเปอร์เซนต์เนื้อแดงมาก๗ โดย “ความเครียด” จากปัจจัยต่าง ๆ ในระบบการผลิต หรือการเจ็บป่วยเป็นโรคแบบเรื้อรัง จะเป็นสาเหตุโน้มนำของการเกิดโรคนี้ในฟาร์ม
ความเครียดที่เกิดขึ้นในขบบวนการผลิตหรือภาวะป่วยเป็นโรคแบบเรื้อรัง ทำให้เกิดการหลั่งของกรดเกลือ (hydrochloric acid) ออกมามาก กรดจะทำให้เกิดการตายและลอกหลุดของเยื่อเมือกกระเพาะอาหารในส่วนต่อกับหลอดอาหาร (esophageal part) ผลของการลอกหลุดทำให้เกิดแผลหลุดและเกิดการฉีดขาดของหลอดเลือดด้านล่างและมีเลือดไหล ซึ่งถ้าไม่ไหลไม่หยุดก็ส่งผลให้สุกรป่วยแสดงแชอาการถ่ายเหลวเป็นเลือดสีดำคล้ายน้ำมันดิน มีกลิ่นเหม็นคาวจัด บางตัวอาจอาเจียน (อาจมีเลือดปนในช่วงหลังๆ ) และสุกรป่วยส่วนใหญ่จะตายภายในไม่เกิน 24-36 ชั่วโมง ต่อมา ปัจจัยโน้มนำที่เกี่ยวข้องกับอาหารอาจได้แก่ กรณีอาหรมีปริมาณไฟเบอร์ (fiber content) เกินไป หรือกรณีอาหารมีเนื้อละเอียดมากเกินไป มีผลทำให้กรดไปเคลือบที่ผิวอาหารที่จับเป็นก้อนภายหลังกินเข้าไป แล้วก่อการระคายเคืองที่เยื่อเมือกส่วนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนก่อให้เกิดโรคตามมาในที่สุด
แนวทางการควบคุมและป้องกันปัญหาการถ่ายเลือดหรือเป็นมูกเลือด
โรคที่เป็นปัญหาน้อยที่สุด ในบรรดาโรคที่ทำให้เกิดปัญหาถ่ายเป็นเลือดหรือเป็นมูลเลือดที่กล่าวมใาแล้วในตอนต้น คือ โรคลำไส้อักเสบแบบเป็นเนื้อตาย เนื่องจากโรคนี้จะเป็นปัญหาเฉพาะบางฟาร์มที่มีการนำสุกรพันธุ์จากต่างประเทศเข้ามา (โรคส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นภายหลังการนำสุกรเข้าฟาร์มได้ไม่นาน ) หรือฟาร์มที่มีการตัดหรือถอนหญ้าให้แม่กินในช่วงก่อนคลอด รวมถึงฟาร์มที่ใช้ฟางเป็นสิ่งปูรองในเล้าคลอด ในประเทศไทยโรคนี้มักไม่ก่อให้เกิดปัญหาแบเรื้อรัง เพระเชื้อที่เป็นสาเหตุมีความไวต่อยาต้านจุลชีพทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะยากลุ่มเพนนิซิลลิน (penicillin) และเอมพิซินลิน (ampicillin) ประกอบกับฟาร์มส่วนใหญ่ภายในประเทศ (การเลี้ยงในระดับฟาร์ม) มีการควบคุมความสะอาดและฆ่าเชื้อโรงเรือนและเล้าคลอดค่อนข้างดี และมีระบบการเลี้ยงที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการเจริญของเชื้อ (ไม่มีการปล่อยลงเลี้ยงเหมือนในต่างประเทศ)
ถ้ามีการระบาดเกิดขึ้นในเล้าคลอด ให้ควบคุมโรคโดยการฆ่าเชื้อโรงเรียนและซองคลอดประจำ รวมทั้งการใช้ยาต้านจุลชีพผสมในอาหารแม่สุกรอุ้มทอ้งและแม่สุกรเสี้ยงลูกติดต่อกันประมาณ 7-10 วัน ส่วนลูกสุกรควรกรอกยารักษาโรคท้องร่วง กลุ่มเพนนิซิลลินหรือแอมพิซิลลินหรือยาต่านจุลชีพที่ออกฟทธิ์กว่างอื่น ๆ ให้ตั้งแต่แรกเกิด และถ้าการระบาดรุนแรงมากให้ฉีดยาเพนนิซิลลิน– สเตรปโมัยซินชนิดออกฤทธิ์นาน (long acting penicillin–streptomycin) เสริมให้กับลูกสุกรทุกตัวตั้งแต่แรกเกิดเช่นกัน ลูกสุกรที่กำลังป่วยให้ฉีดยาและกรอกยารักษาตามอาการ
ตัวอย่างชนิดและขนาดยาที่แนะนำผสมอาหารให้แม่สุกรช่วงเกิดการระบาด
- penicillin 300 ppm
- ampicillin 150 ppm
- amoxycillin 150 ppm
- chlortetracycline 300 ppm
โรคที่มีปัญหารองลงมา คือโรคแผลเลือดออกในกระเพาะอาหาร จะเป็นปัญหาเฉพาะในบางฟาร์มโดยมีสายพันธุ์ที่เลี้ยง และ หรือ/ ปัจจัยโน้นนำที่ก่อให้เกิดความเครียดเป็นสาเกตุสำคัญ และการเกิดโรคจะไม่ใช่ลักษณะของการระบาด แต่จะเป็นปัญหากับสุกรบางกลุ่มและในบางโอกาสาเท่านั้น ความเสียกายจากโรคจะไม่มากเมื่อเทียบกับการระบาดของโรคทั่วๆ ไป เพียงแต่สร้างความวิติกังวลให้กับเจ้าของฟาร์ม
การควบคุมป้องกัน ต้องอาศัยกาวิเคราะห์หาสาเหตุที่เกิดขึ้นภายในฟาร์ม แล้ววางแผนมารตรการในการลดหรือแก้ไขปัจจัยที่เป็สาเหตุโน้มนำภายในฟาร์ม ที่สำคัญต้องวินิจฉัยแยกโรคให้ออกจากกลุ่มโรคพีไอเอ คอมเพล็กซ์ เนื่องจากมีลักษณะการถ่านดำหรือการถ่ายเป็นเลือดเหมือนๆ กัน ผลการชันสูตรซากจะพบลิ่มเลือดจำนวนมากคั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร และพบแผลหลุม (ulcer) ที่ขั้วกระเพาะอาหารได้ดังกล่าวแล้ว พีไอเอ คอเพล็กซ์ ในรูปแบบของโรคพีเอ็ชอี (PHE) จะมีวิการการอักเสบเป็นเนื้อตาย (สีเหลืองหรือน้ำตาลแกรมเหลือง) ของเยื่อเมือกและมีเลือดออกที่ตอนท้ายของลำไส้เล็กส่วนปลายเท่านั้น
โรคที่เป็นปัญหาในสุกรขุน ได้แก่ โรคบิดเลือดซึ่งเป็นปัญหามากในฟาร์มสุกรขุน โอกาสที่จะพบการเกิดโรคในสุกรช่วงหลังหย่านมกรือสุกรพ่แแม่พันธ์มีเหมือนกันแต่พบย้อยมาก การเกิดโรคในสุกรขุนมักเป็นอย่างเรื้อรังด้วยเหตุผลที่กล่าวแล้วในตอนต้น
ด้วยเหตุนี้เมื่อเริ่มเกิดการระบาดจะต้องทำการรักษาและควบคุมโรคให้สงบโดยเร็วและจริงจัง ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1. ใช้มาตราการด้านการสุขภาพอย่างจริงจัง ควรรณรงค์การกำจัดของโรคในฟาร์ม (หนู เเมลงวัน) อย่างสม่ำเสมอทั้งในช่วงการระบาดและภายหลังการระบาด อีกทั้งควรทำการปรับปรุงระบบการระบายของเสียหรือน้ำโสโครกภายในฟาร์มให้ดี เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนของสุกรภายในฟาร์ม
2. ฉีดยารักษาที่แสดงอาการป่วย (ซึม ท้องร่วง) ติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 วันติดต่อกัน และถ้าเป็นไปได้ควรแยกสุกรป่วยออกให้การรักษาต่างหาก เพื่อลดอัตราการติดเชื้อของสุกรอยู่ที่ร่วมคอกกัน
3. ทำการผสมยาต้านจุลชีพในอาหารหรือละลายน้ำให้สุกรป่วยและสุกรที่อยู่คอกเดียว รวมถึงสุกรในคอกให้สุกรป่วยและสุกรที่อยู่คอกเดียวกัน รวมถึงสุกรในคอกอื่น ๆ ที่อยู่ในโรงเรียนเดียวกันหรือใกล้เคียงที่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ถ้าการระบากรุนแรงอาจจำเป็นต้องให้กินทั้งฟาร์ม ทั้งนี้ขึ้นกับภาวะ (เพิ่มเริ่มการระบากหรือเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน) และความรุนแรงของโรค การให้ยาผสมในอาหารหรือละลายน้ำควรให้ติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์ และขนาดยาที่ใช้เป็นขนาดสูง(ขนาดรักษา) หลังจากนั้นอาจให้ยาในขนาดป้องกัน (ลดขนาดยาลงประมาณครึ่งหนึ่ง) กินติดต่อกันอีก 1-2 สัปดาห์ ตัวอย่างชนิดและขนาดยาต้านจุลชีพ (ผสมอาหาร)
ที่มา : เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการเรื่อง "โรคสำคัญที่เป็นปัญหาในระบบทางเดินอาหารสุกร" สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ, 2541
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กรมปศุสัตว์