โรคอหิวาต์สุกร (Hog Cholera, Classical Swine Fever, CSF : A 130)

อหิวาต์สุกร เป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงของสุกรซึ่งนำความสูญเสียทางเศรษฐกิจมาสู่เกษตรกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นโรคที่ระบาดได้รวดเร็วและเกิดกับสุกรทุกอายุมีอัตราการป่วยค่อนข้างสูง ส่วนอัตราการตายขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อโรคและภาวะภูมิคุ้มกันโรคของสุกร ดังนั้นเกษตรกรจึงควรป้องกันมิให้เกิดโรคนี้ขึ้นในฟาร์ม
สาเหตุ โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส ที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานในสภาพแวดล้อมปรกติ เช่น ในโรงเรือน สิ่งปูรอง และมูลสัตว์ เชื้อไวรัสจะถูกทำลายโดยสารจำพวกด่าง เช่น โซดาไฟ และครีซอล
การติดต่อและการระบาดของโรค ติดต่อโดยตรงจากสุกรป่วยในเล้าเดียวกัน โดนเชื้อไวรัสจะถูกขับปนออกมากับสิ่งขับถ่าย เช่น น้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ และปัสสาวะ หรืออาจติดต่อทางอ้อมจากคน สัตว์เลี้ยง นก หนู แมลง และยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งสุกรเข้าออกจากฟาร์ม
อาการ สุกรป่วยจะแสดงอาการหลังจากได่รับเชื้อประมาณ 1 สัปดาห์ อาการป่วยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อไวรัสและภูมิคุ้มกันโรคในสุกรแต่ละตัว
          สุกรที่ได้รับเชื้อไวรัสชนิดรุนแรงมากจะแสดงอาการแบบปัจจุบัน โดยมีไข้สูง หนาวสั่น นอนสุมกัน เยื่อตาอักเสบ น้ำมูก น้ำตาไหล ระยะแรกของการมีไข้สุกรจะท้องผูก ระยะต่อมาจะท้องร่วง และมักพบอาการทางประสาทร่วมด้วย เช่น เดินโซเซ ขาหลังเป็นอัมพาตและชักในช่วงใกล้ตาย ในสุกรที่เป็นโรคแบบเรื้อรังหรือได้รับเชื้อชนิดรุนแรงน้อย อาการของโรคจะไม่เด่นชัด จึงอาจสังเกตุไม่เห็น โดยจะมีไข้เล็กน้อย ซึม เบื่ออาหาร อาการเหล่านี้จะหายไประยะหนึ่งและกลับเป็นขึ้นมาอีก สุกรจะแคระแกร็น ขนหยาบ กระด้าง และมักมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ทำให้ปอดบวม ปอดอักเสบและตายในที่สุด แม่สุกรที่ได้รับเชื้อขณะตั้งท้องจะทำให้แท้งลูก คลอดลูกกรอก หรือลูกสุกรตายแรกคลอด ส่วนลูกสุกรที่รอดชีวิต ก็จะอ่อนแอและมีอาการทางประสาท ลูกสุกรเหล่านี้จะเป็นพาหะที่สำคัญในการแพร่โรค

CSF1.jpg

ลูกสุกรนอนสุมกัน   

CSF2.jpg

ไตมีจุดเลือดออก 

CSF3.jpg

รอยจ้ำเลือดสีม่วงที่ผิวหนัง

วิการหรือรอยโรค พบจุดเลือดออกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะพื้นท้องจมูก ใบหู และโคนขาด้านใน เมื่อเปิดผ่าดูอวัยวะภายใน พบว่ามีจุดเลือดออก เช่น ที่ต่อมน้ำเหลือง กล่องเสียง ไต และกระเพาะปัสสาวะ เส้นเลือดในม้ามถูกอุดตัน ดูภายนอกเห็นลักษณะเป็นจ้ำเลือดดำคล้ำ

          การควบคุมดรคและป้องกันโรค
          1. จัดการด้านสุขาภิบาลให้ถูกสุขลักษณะ โดยไม่เลี้ยงสุกรหนาแน่นเกินไป ทำความสะอาดเล้าสุกรอย่างสม่ำเสมอ กำจัด นก หนู แมลงต่างๆ ที่เป็นพาหะของโรคและป้องกันการติดเชื้อจาภายนอกโดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนเข้าฟาร์ม
          2. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้แก่สุกรทุกตัวตามโปรแกรมและทำเครื่องหมายสุกรที่ให้วัคซีนแล้วเพื่อสะดวกในการตรวจสอบภายหลัง
          3. ไม่ควรฉีดวัคซีนเชื้อเป็นให้แม่สุกรทุกระยะของการตั้งท้อง เนื่องจากไวรัสสามารถผ่านจากแม่ไปยังลูกโดยผ่านทางสายรกได้ เชื้อไวรัสจะแฝงอยู่ในลูกสุกรทำให้การให้วัคซีนป้องกันโรคในลูกสุกรเหล่านี้ไม่ได้ผล
          4. ระวังไม่ใช้วัคซีนที่เสื่อมคุณภาพ และเก็บวัคซีนให้ถูกวิธี เช่น เก็บในตู้เย็นหรือกระติกน้ำแข็งที่มีความเย็นเพียงพอและไม่ให้ถูกแสงแดด
          5. เมื่อมีสุกรป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคนี้ ควรแยกไว้ในคอกสัตว์ป่วยที่อยู่ห่างไกลโดยทันทีแล้วรีบแจ้งต่อปศุสัตว์อำเภอหรือปศุสัตว์จังหวัด และขอคำแนะนำที่ถูกต้องในการควบคุมโรค
          6. ทำลายสุกรป่วยให้หมด เพื่อไม่ให้โรคแพร่กระจายพร้อมทั้งทำความสะอาดเล้าสุกรด้วยโซดาไฟ 2% หรือครีซอล 5% แล้วปล่อยให้เล้าว่างไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนนำสุกรใหม่เข้ามาเลี้ยง          โรคอหิวาต์สุกรเป็นโรคของสุกรและสุกรป่าที่ เกิดจากเชื้อไวรัส (family Flaviviridae, genus Pestivirus) มีระยะฟักตัวนาน 2- 14 วัน เชื้อทนต่อสภาพอากาศเย็นได้นาน ดังนั้นจึงอาจมีชีวิตในผลิตภัณฑ์อาหารที่ผ่านการรมควัน หรือวิธีถนอมอาหารบางอย่างได้ การติดโรคเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับ อวัยวะ เลือด น้ำเชื้อ สิ่งขับถ่าย หรือสารคัดหลั่งจากสัตว์ที่ป่วยหรือตาย เชื้อจากแม่ผ่านรกสู่ลูกสุกร การต้มฆ่าเชื้อเศษอาหารที่ใช้เลี้ยงสุกรไม่นานพอ คนเข้าไปในฟาร์มที่เกิดโรคจะช่วยแพร่กระจายเชื้อได้เช่นเดียวกับ ยานพาหนะเข้า-ออก เสื้อผ้า เข็มหรือกระบอกฉีดยา โรงเรือน เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ลูกสุกรที่ติดเชื้อตั้งแต่เกิดสามารถแพร่เชื้อได้นานนับเดือนเนื่องจากภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด (persistence viraemia) เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายทางปาก เยื่อบุตา เยื่อชุ่มต่างๆ ผิวหนังที่ฉีกขาด การให้เลือด การผสมพันธุ์

น้ำยาฆ่าเชื้อไวรัสโรคอหิวาต์สุกร ได้แก่ ครีซอล โซเดียมไฮดรอกไซด์ 2% ฟอร์มาลิน 1% โซเดียมคาร์บอเนต (4% ผงแห้ง anhydrous หรือ 10% ผลึก crystalline ใส่กับผงซักฟอกอีก 1%) ผงซักฟอก ( ทั้งชนิด ionic และ non-ionic detergent) ไอโอโดฟอร์อย่างแรง 1% ในกรด ฟอสฟอรัส ก็ได้

โรคนี้ไม่มีวิธีรักษา สัตว์ป่วยควรถูกทำลายแล้วฝังหรือเผาซาก ในประเทศที่ยังมีโรคนี้อยู่จะใช้วัคซินเชื้อเป็นซึ่งให้ผลดีในการป้องกันความสูญเสียแต่ไม่อาจกำจัดโรคได้ ส่วนประเทศที่ปลอดโรคแล้วหรือการกำจัดโรคที่มีความก้าวหน้าจะห้ามทำการฉีดวัคซิน การควบคุมป้องกันโรคที่ได้ผลดีต้องมีความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ สัตวแพทย์ผู้ดูแลและเจ้าของฟาร์ม มีระบบรายงานโรคที่มีประสิทธิภาพ เข้มงวดการนำเข้าสุกรมีชีวิตและผลิตภัณฑ์ การกักกันสุกรใหม่ก่อนที่จะรวมฝูง การต้มฆ่าเชื้อเศษอาหารหรือห้ามการเลี้ยงสุกรด้วยเศษอาหาร การควบคุมโรงกำจัดซากสัตว์ ทำการเฝ้าระวังโรคนี้ในฟาร์มพ่อ-แม่พันธุ์ มีระบบการบันทึกและทำเครื่องหมายที่ตัวสุกร เมื่อมีการระบาดควรทำลายสุกรทุกตัวในฟาร์ม กำจัดซากสัตว์ สิ่งปูนอนฯลฯ โดยเผาหรือฝัง ฆ่าเชื้อและทำสะอาด กำหนดเขตโรคระบาด ควบคุมการเคลื่อนย้ายสุกรและทำการเฝ้าระวังโรค ดำเนินการสอบสวนทางระบาดวิทยาหาแหล่งที่มาและการกระจายของโรค

นิยามในการเฝ้าระวังโรค (Case Definition for Surveillance)

1. เกณฑ์ทางคลินิก (Clinical Criteria)


1.1 ชนิดเฉียบพลัน (Acute form)
- มีไข้ 41 C ไม่กินอาหาร อ่อนเพลีย
- ผิวหนังมีเลือดออกเป็นจุด หรือ เป็นผื่นแดง (multifocal hyperaemia and haemorrhagic lesions)
- ผิวหนังตามขอบหรือปลายอวัยวะดำคล้ำ (cyanosis) เช่น หู หาง จมูก และ ปลายขา
- สุกรมีอาการท้องผูกชั่วขณะก่อนมีอาการท้องเสียตามมา บางครั้งอาเจียน
- หายใจลำบาก ไอ
- มีอาการทางประสาท สั่น อัมพาต ชัก
- นอนสุมกัน
- ตายหลังจากแสดงอาการแล้ว 5 -15 วัน ในสุกรเล็กอัตราตายอาจถึง 100%1.2 ชนิดเรื้อรัง (Chronic form)
- ซึม มีไข้ แต่กินอาหาร อาจมีอาการท้องเสียนานถึงเดือน
- ดูเหมือนสุกรหายป่วย แต่จะกลับมาเป็นอีกและตายในที่สุด1.3 ชนิดติดเชื้อแต่กำเนิด (Congenital form)
- มีอาการสั่นตั้งแต่เกิด อ่อนแอ
- แคระแกรน โตช้า และตายในที่สุด
- สุกรอาการปกติ แต่จะมีเชื้อไวรัสอยู่ในกระแสเลือด โดยที่ไม่สร้างภูมิคุ้มโรค

1.4 ชนิดไม่รุนแรง (Mild form)
- มีไข้ชั่วขณะ ไม่กินอาหาร
- ลูกตายในท้องและถูกดูดซึม คลอดเป็นลูกกรอก หรือคลอดออกมาตาย
- คลอดลูกสุกรที่ติดเชื้อแต่กำเนิด
- อาจแท้งลูก

2.   เกณฑ์ทางห้องปฏิบัติการ (Laboratory criteria)


2.1   วิการ (Lesions)
2.1.1 ชนิดเฉียบพลัน (Acute form)
- เม็ดเลือดขาวต่ำ (leucopaenia & thrombocytopaenia)
- มีเลือดออกเป็นจุด หรือ เป็นหย่อม (petechiae and ecchymoses) กระจายทั่วไปโดยเฉพาะที่ผิวหนัง ต่อมน้ำเหลือง กล่องเสียง กระเพาะปัสสาวะ ไต รอยต่อระหว่างลำไส้เล็กกับลำไส้ใหญ่ (ileocaecal junction)
- อาจพบเนื้อตายที่ขอบม้ามเป็นจุดๆ แต่ไม่เสมอไป
- มักพบต่อมน้ำเหลืองขยายใหญ่และมีเลือดออก
- พบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และ perivascular cuffing

2.1.2 ชนิดเรื้อรัง (Chronic form)
- พบเนื้องอก (buttonulcers) ที่ลำไส้ใหญ่และ caecum
- lymphoid tissue มีปริมาณลดลง
- วิการอักเสบหรือมีเลือดออกมักหายไป

2.1.3 ชนิดติดเชื้อแต่กำเนิด (Congenital form)
- พบสมองผิดปกติ คือ central dysmyelinogenesis, cerebellar hypoplasia mycroencephaly
- ปอดไม่เจริญเติบโต Pulmonary hypoplasis
- เซลเกิดถุงน้ำ (hydrops)
- การสร้างอวัยวะอื่นที่ผิดปกติ (malformations)

2.2 วิธีวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการ
- Virus Identification ด้วยวิธี Direct immunofluorescence กับเนื่อเยื่อแช่แข็ง (cryostat section) จากต่อมทอนซิล ต่อมน้ำเหลือง (pharyngeal หรือ mesenteric) ม้าม ไต ส่วนปลายของ ileum หรือเก็บเลือดสุกรป่วยใส่ EDTA
- Virus isolation ใน cell culture แล้วตรวจหาเชื้อไวรัสด้วยวิธี immunofluorescence หรือ immunoperoxidase การตรวจยืนยันใช้ monoclonal antibodies
- Serological tests ด้วยวิธี Neutralisation peroxidase-link essay, Fluorescent antibody virus neutralization , ELISA โดยเก็บซีรั่มจากสัตว์ป่วย แม่สุกรคลอดลูกที่สงสัยว่าจะติดเชื้อตั้งแต่เกิด (suspected congenitally infected litters) หรือสุกรที่ทำการเฝ้าระวังโรค________________________________
ที่มา ::เอกสารเผยแพร่ของสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ และ กลุ่มระบาดวิทยาทางสัตวแพทย์ สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
Reference / แหล่งที่มาข้อมูล : OIE Technical Disease Card (updated : 22.04.2002)