เตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ . . . ระวังโรคอินคลูชั่นบอดี เฮปาไตติส

น.สพ. ดร. รัฐพงศ์ รัตนภุมมะ

จากการเสวนาในหัวข้อ “Emerging and Re-emerging Disease in Poultry” ณ สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (7 ต.ค. 2551) โดย รศ.น.สพ.ดร.ทวีศักดิ์ ส่งเสริม คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นวิทยากรในครั้งนี้ กล่าวว่า ปัจจุบันพบโรค อินคลูชั่นบอดี เฮปาไตติส ในสัตว์ปีก โดยเฉพาะในไก่ ซึ่งเกิดจากเชื้ออะดีโนไวรัส กลุ่มที่ 1 (Adenovirus group 1) ในระยะเริ่มแรกของการเกิดโรคชนิดนี้ไก่พันธุ์มักจะพบเปอร์เซ็นต์ไข่ลดลงบ้างแต่อาจจะไม่มากนัก ในขณะที่โรงฟักจะพบไข่ตายโคมสูงกว่าปกติ และคุณภาพของลูกไก่ไม่ดี อ่อนแอ หรือฟักออกล่าช้า (late hatch) ต่อมาเริ่มจะเห็นปัญหาไข่ลดและไข่ไม่ได้คุณภาพจากฝูงพ่อแม่พันธุ์เพิ่มขึ้น หรืออาจจะไม่พบปัญหาไข่ลดเลยก็ได้ จากนั้นไม่นานจะเริ่มพบความเสียหายในลูกไก่ระหว่างอายุ 2-3 สัปดาห์ จากชุดลูกไก่ที่มาจากฝูงพ่อแม่พันธุ์นั้น โดยมากแล้วจะพบปัญหาสูงในช่วงอายุไม่เกิน 3 สัปดาห์ อาการที่พบในลูกไก่คือ ซึม อ่อนแอ และตายอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 วัน และอัตราการตายเริ่มลดลงภายใน 1 สัปดาห์ ไม่ค่อยมีแรงเดิน ซีด อุจจาระร่วง ไม่เติบโตเท่าที่ควร หรืออาจตายอย่างรวดเร็วภายใน 1 วัน โดยไม่เห็นอาการก็ได้ อัตราการคัดทิ้งอาจสูงถึง 50% พวกที่หายป่วยจะแคระแกร็น น้ำหนักไม่ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในไก่เนื้อ เชื้อไวรัสสามารถติดต่อจากแม่ไก่สู่ลูกไก่ผ่านไข่ (Vertical transmission) และจากไก่ติดเชื้อสู่ไก่ปกติ (Horizontal transmission) โดยผ่านทางอุจจาระ และ อาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ นอกจากนี้เชื้อยังสามารถแพร่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง โดย คน และยานพาหนะ ภาชนะ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในฟาร์ม รวมทั้งนกที่อาศัยอยู่ในฟาร์ม สัตว์อื่นๆ ที่อาจจะนำเชื้อได้แก่ หนู แมลงวัน แมลงสาบ เป็นต้นดังนั้นหากสงสัยว่าฟาร์มมีปัญหาเกี่ยวกับโรค อินคลูชั่นบอดี เฮปาไตติส นี้ สิ่งที่กระทำได้คือป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปที่ฝูงอื่น ถ้าพบปัญหาการระบาดรุนแรงในฝูงพ่อแม่พันธุ์ ไม่ควรนำไข่จากฝูงที่มีปัญหาเข้าฟักเพราะจะทำให้เชื้อที่ผ่านทางไข่กระจายถึงลูกไก่และฟาร์มไก่เล็กต่อไปอีก นอกจากนี้ระบบการป้องกันโรค (Biosecurity) ที่ดีในฟาร์ม สามารถที่จะควบคุมและป้องกันโรคนี้ได้ดีเช่นกัน การปลดหรือทำลายฝูงพ่อแม่พันธุ์ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นร่วมด้วย เพราะเมื่อฝูงไก่พันธุ์มีภูมิคุ้มกันหลังติดเชื้อ ปัญหาจะทุเลาลงจนไม่เห็นความเสียหาย และแม่ไก่จะถ่ายทอดภูมิคุ้มกันไปยังลูกผ่านไข่แดงในเวลาต่อมา ดังนั้นการปลดหรือทำลายไก่พันธุ์จึงอาจไม่ใช่ทางเลือกอันดับแรกในการแก้ปัญหานี้ แต่ถ้าจำเป็นต้องปลดไก่พันธุ์ด้วยเหตุผลหรือปัจจัยอื่นควรคำนึงถึงการแพร่กระจายเชื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โรงฆ่า สำหรับในโรงเรือนไก่เนื้อที่ติดเชื้อนี้นอกจากกำจัดตัวป่วยโดยการฝังทำลายและใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น กลูตาร์อัลดีไฮด์ (glutaraldehyde) เป็นต้น แล้ว ต้องกำจัดเชื้อในสิ่งปูรองโรงเรือนอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ไม่ควรใช้เครื่องมืออุปกรณ์การเลี้ยงสัตว์ร่วมกันระหว่างโรงเรือนไก่ป่วยกับไก่ปกติ การใช้วัคซีนเพื่อป้องกันโรคนี้ ควรคำนึงถึงสายพันธุ์ของเชื้อและความคุ้มโรคตลอดจนภูมิคุ้มกันข้ามกันของสายพันธุ์ต่างๆ ของเชื้อนี้ด้วย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการติดตามเฝ้าระวังและป้องกันโรคหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ โทร. 02-579-8908-14 ต่อ 426 หรือ รศ.น.สพ.ดร.ทวีศักดิ์ ส่งเสริม คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน 0-2942-8437 หรือ 0-2579-0058-9 ต่อ 6615 ในวันและเวลาราชการ

fowl IBH1

fowl IBH2

ภาพที่ 1 เชื้ออะดีโนไวรัส ถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
ที่มา : http://www.virology.net/Big_virrology/EM/Adeno-FD.jpg