โรคอเมริกันฟาวล์บรูด (Amercican foulbrood)

wild AmericanFoulbrood

โรคอเมริกันฟาวล์บรูด หรือ เรียกว่าโรคตัวอ่อนผึ้งเน่าอเมริกัน เป็นโรคระบาดในตัวอ่อนผึ้งระยะที่เป็นหนอน ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Paenibacillus larvae larvae (P.l. larvae)
เป็นโรคระบาดร้ายแรงในผึ้งพันธุ์ยุโรป (Apis mellifera) มีสาเหตุจากแบคทีเรียชื่อ Paenibacillus larvae larvae (P. l. larvae) ติดสีกรัมบวก vegetative cell มีรูปร่างเป็นแท่ง ปลายกลมมน มักจะเจริญต่อกันเป็นสาย มีขนาดยาวประมาณ 1.5 - 6.0 µm กว้าง 0.5 µm และในบางสภาพจะพบ giant whipsในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม แบคทีเรียนี้จะสร้างสปอร์หลายล้านสปอร์ในตัวอ่อนผึ้งที่เน่าตาย สปอร์มีรูปร่างรี มีความยาวเป็นสองเท่าของความกว้าง คือประมาณ 0.6 µm x 1.3 µm สปอร์ สามารถทนความร้อนและสารเคมีได้เป็นเวลายาวนาน ทำให้กำจัดโรคได้ยาก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดโรคนี้คือ การเผาทำลายรังผึ้งที่เป็นโรค พร้อมทั้งตัวอ่อนผึ้งและตัวเต็มวัย รวมทั้งทำความสะอาดอุปกรณ์เลี้ยงผึ้งต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุที่โรคอเมริกันฟาวล์บรูดสามารถพบได้ในแหล่งที่มีการเลี้ยงผึ้งทั่วโลก และมีผลต่อการเลี้ยงผึ้งและผลิตภัณฑ์ผึ้ง ตลอดจนการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งเป็นโรคที่อยู่ในบัญชีโรคระบาดสัตว์ขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organisation for Animal Health หรือ OIE) และเป็นโรคในกฎกระทรวงว่าด้วยโรคระบาดสัตว์เพิ่มเติม พ.ศ. 2538 ภายใต้พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 กรมปศุสัตว์ และกรมส่งเสริมการเกษตร โดยการสนับสนุนของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ได้สำรวจโรคผึ้งทั่วประเทศ เมื่อ พ.ศ. 2546 ผลการศึกษาคือ ไม่พบโรคนี้ตัวอ่อนผึ้งติดเชื้อ P. l. larvae อาจเกิดจากการที่ผึ้งพี่เลี้ยง (nurse bee) เลี้ยงตัวอ่อนผึ้งด้วยอาหารที่ปนเปื้อนสปอร์ของ P. l. larvae หรือจากสปอร์ที่คงค้างอยู่ในหลอดรวงผึ้งเดิม ถึงแม้ว่าตัวอ่อนของผึ้งนางพญา ผึ้งงาน และผึ้งตัวผู้จะไวต่อการเป็นโรค แต่ในธรรมชาติมักพบตัวอ่อนของผึ้งงานติดเชื้อเป็นส่วนใหญ่ การไวต่อโรคอเมริกันฟาวล์บรูดของตัวอ่อนผึ้งจะลดลงตามอายุของตัวอ่อนผึ้งที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การแพร่เชื้อในอุตสาหกรรมการเลี้ยงผึ้งอาจเกิดจากการแลกเปลี่ยนรวงผึ้งระหว่างรังผึ้ง การรวมรังผึ้ง การเคลื่อนย้ายรังผึ้งที่เป็นโรค การขโมยน้ำหวานของผึ้ง การใช้แหล่งอาหารและน้ำร่วมกันของผึ้ง การให้อาหารเสริมที่ปนเปื้อนเชื้อ การใช้ผึ้งนางพญาจากรังที่เป็นโรค และการใช้อุปกรณ์เลี้ยงผึ้งที่ปนเปื้อนเชื้อ P. l. larvaeอาการของโรคอเมริกันฟาวล์บรูดสังเกตได้ง่ายจากลักษณะของตัวอ่อนผึ้งที่เน่าตายในรวงผึ้ง เนื่องจาก P. l. larvae สร้างเอนไซม์โปรติเอส (protease) มาย่อยตัวอ่อน ทำให้ตัวอ่อนผึ้งตายภายใน 10 - 15 วัน หลังติดเชื้อ ตัวอ่อนผึ้งที่ตายด้วยโรคนี้จะมีสีเข้มกว่าปกติ ยุบตัวราบติดผนังด้านล่างของหลอดรวงผึ้ง เมื่อเน่าสลายจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงดำ และเห็นฝาปิดหลอดรวงผึ้งมีลักษณะเป็นรูพรุน ทำให้เห็นรวงผึ้งในรังที่ติดเชื้อเป็นจุดด่างดำ เนื่องจากในรังผึ้งนั้นมีหลอดรวงผึ้งที่ไม่เป็นโรคมีการปิดฝาปนกับหลอดรวงผึ้งที่เป็นโรคมีการเกิดรูพรุน อย่างไรก็ดีลักษณะเช่นนี้อาจพบในรังผึ้งที่เป็นโรคอื่นๆ ด้วย โรคนี้มักเกิดกับตัวอ่อนผึ้งที่หลอดรวงผึ้งเพิ่งปิดเป็นส่วนใหญ่ โดยฝาปิดหลอดรวงผึ้งจะมีลักษณะบุ๋ม สีคล้ำ และมีรูเล็กหลายๆ รู รูปร่างไม่แน่นอน เมื่อเปิดฝาปิดจะเห็นตัวอ่อนผึ้งในหลอดรวงผึ้งนอนตายในท่าปกติ คือนอนหงายยาวตามหลอดรวงผึ้ง ในลักษณะหันหัวออก สีของตัวอ่อนเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีน้ำตาล และเน่าสลาย มีกลิ่นเหม็น ถ้าใช้ไม้เขี่ยตัวอ่อนผึ้งที่เน่าจะมีลักษณะเป็นของเหลวเหนียวยืดเป็นสายยาว ติดไม้นั้นออกมา ต่อมาตัวอ่อนผึ้งที่เน่าจะยุบตัวแห้งลงในท่าเดิมและกลายเป็นสะเก็ด (scale) ติดแน่นอยู่กับผนังด้านล่างของหลอดรวงผึ้ง และถ้าตัวอ่อนผึ้งนั้นตายในระยะดักแด้ จะเห็นส่วนลิ้น (pupal tongue) ยื่นตั้งขึ้นมาจากสะเก็ดนั้น สะเก็ดดังกล่าวจะมีสปอร์ของ P. l. larvae อยู่เป็นจำนวนมาก และติดแน่นกับผนังหลอดรวงผึ้ง โดยผึ้งงานไม่สามารถนำออกไปทิ้งนอกรังได้


ที่มา : สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์