โรคยูโรเปียนฟาวล์บรูด (European Foulbrood)

โรคยูโรเปียนฟาวล์บรูดหรือเรียกว่าโรคตัวอ่อนเน่ายูโรเปียน เป็นโรคระบาดร้ายแรงในผึ้งพันธุ์ยุโรป (Apis mellifera) มีสาเหตุจากแบคทีเรียชื่อ Melissococcus pluton ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดไม่สร้างสปอร์ และติดสีกรัมบวก ลักษณะคล้ายลูกปัด มักอยู่เป็นเซลล์เดี่ยว แต่อาจต่อกันเป็นสายหรือเป็นกลุ่ม โรคนี้จะทำให้ตัวอ่อนผึ้งตาย และเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีน้ำตาล ถ้ารวงผึ้งมีการติดเชื้ออย่างรุนแรงจะมีกลิ่นเหม็น เปรี้ยว โรคนี้พบได้ในแหล่งการเลี้ยงผึ้งทั่วโลก พบว่า M. pluton ที่พบทั่วโลกมีสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดกัน ยกเว้นสายพันธุ์ที่พบในประเทศบราซิลและสายพันธุ์ที่พบในผึ้งชนิดอื่น เช่น Apis laboriosa จะมีความแตกต่างจากเชื้อสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งส่วนมากจะพบในช่วงก่อนการสิ้นสุดของฤดูดอกไม้บาน (nectar flow) แต่ในประเทศไทยมักพบหลังฤดูดอกไม้บาน ด้วยเหตุที่โรคนี้มีความสำคัญต่อการเลี้ยงผึ้งและผลิตภัณฑ์ผึ้ง ตลอดจนการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งเป็นโรคที่อยู่ในบัญชีโรคระบาดสัตว์ขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organisation for Animal Health หรือ OIE) และเป็นโรคในกฎกระทรวงว่าด้วยโรคระบาดสัตว์เพิ่มเติม พ.ศ. 2538 ภายใต้พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 กรมปศุสัตว์และกรมส่งเสริมการเกษตร โดยการสนับสนุนของ
สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ได้สำรวจโรคผึ้งทั่วประเทศ เมื่อ พ.ศ. 2546 ปรากฏว่า ตรวจพบโรคนี้ 8.06 % ของจำนวนตัวอย่างที่สำรวจทั้งหมด แต่ยังไม่พบว่าระบาดพยาธิกำเนิด
ในการเพาะเลี้ยงเชื้อ M. pluton พบว่าเจริญได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีออกซิเจนหรือมีออกซิเจนในปริมาณน้อย และต้องการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายตัวอ่อนผึ้งจะเจริญในทางเดินอาหาร ดังนั้น เมื่อตัวอ่อนผึ้งถ่ายของเสียจะมีเชื้อปนเปื้อนออกมาด้วยและติดอยู่ในหลอดรวงผึ้ง เชื้อยังคง
มีชีวิตอยู่ในหลอดรวงผึ้งและสามารถก่อโรคได้อีกเป็นเวลาหลายปี ถึงแม้ว่าเมื่อผึ้งงานทำความสะอาดหลอดรวงผึ้ง และเชื้อก่อโรคส่วนหนึ่งถูกกำจัดไป แต่ในขณะเดียวกันอาจทำให้เกิดการแพร่ของเชื้อจากหลอดรวงผึ้งหนึ่งไปยังอีกหลอดรวงผึ้งหนึ่งได้ โดย M. pluton จะติดไปกับผึ้งงาน

bee EuropeanFoulbrood


อาการ
ส่วนใหญ่โรคยูโรเปียนฟาวล์บรูดพบได้ในตัวอ่อนผึ้งในช่วงที่ฝาหลอดรวงผึ้ง ยังไม่ปิด เมื่อตัวอ่อนผึ้งติดเชื้อ มักจะตายที่อายุประมาณ 4 วัน ถึง 5 วัน ตัวอ่อนผึ้งที่มีอายุมากจะสามารถต้านทานโรคได้ดีกว่าตัวอ่อนผึ้งที่มีอายุน้อย ส่วนมากตัวอ่อนผึ้งที่ติดเชื้อจะตายในหลอดรวงผึ้งแบบผิดปกติ (ตัวจะบิดเบี้ยวไม่เป็น
รูปตัวซี (C) ) ตัวอ่อนผึ้งที่ติดเชื้อตายจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นเหลือง ในที่สุดเป็นสีน้ำตาล แล้วเน่า มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ถ้าใช้ไม้เขี่ยตัวอ่อนผึ้งที่เน่าจะมีลักษณะเป็นของเหลว แต่จะไม่เหนียวเป็นสาย
ยาวติดไม้ออกมา ต่อมาตัวอ่อนผึ้งที่เน่าจะยุบตัวแห้งลงกลายเป็นสะเก็ด (scale) อยู่ในหลอดรวงผึ้งสะเก็ดดังกล่าวจะไม่ติดแน่นอยู่กับผนังของหลอดรวงผึ้ง และผึ้งงานสามารถนำตัวอ่อนผึ้งที่แห้งกลายเป็นสะเก็ดออกไปทิ้งนอกรังได้ ซึ่งแตกต่างจากโรคอเมริกันฟาวล์บรูดที่สะเก็ดจะติดแน่นในหลอดรวงผึ้งที่มา : สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์