โรคไข้กระต่าย (Tularemia)
สัตวแพทย์หญิงปัจฉิมา อินทรกำแหง
ข่าวเรื่องโรค “ไข้กระต่าย” หรือ “ทูลารีเมีย” (Tularemia) ทำให้สตรีวัย 37 ปี ซึ่งมีประวัติป่วยเป็นโรคมะเร็งรังไข่อยู่แล้ว เสียชีวิต และตรวจพบเชื้อแบคทีเรีย Francisella tularensis ในกระแสเลือดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 แต่เพิ่งจะมาเป็นข่าวออกทางสื่อต่างๆ ทั้งทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2551 คงจะสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้เลี้ยงสัตว์ในตระกูลฟันแทะ เช่น กระต่าย กระรอก หนู อยู่พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อมีประเด็นร้อนว่าเชื้อนี้สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธชีวภาพได้โดยการพ่นให้ได้รับเชื้อทางการหายใจ แต่เนื่องจากโรคนี้สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะหลายชนิด จึงใคร่ทำความเข้าใจในด้านการควบคุมป้องกันโรคจากพาหะ (vector) ของโรคนี้ ซึ่งได้แก่ เห็บ หมัด ไร หรือแม้แต่แมลงชนิดอื่นๆ ที่มีเชื้อนี้อยู่การติดเชื้อ Francisella tularensis มีหลายช่องทาง ที่สำคัญคือจากพาหะของโรคนี้ โดยคนหรือสัตว์ถูกพาหะที่มีเชื้อกัดเป็นอันดับแรกรองลงมาคือโดยการสัมผัสกับซากสัตว์ที่ตายด้วยโรคนี้ นอกจากนั้นอาจติดเนื่องจากกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือโดยการหายใจเอาเชื้อเข้าไป
โรคใดก็ตามที่มีแมลงเป็นพาหะ การรักษาโดยการกำจัดเชื้อในคนหรือสัตว์ (host) เพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าไม่ตัดวงจรหรือตัวการที่นำเชื้อโรคมาสู่คน / สัตว์ เนื่องจากพาหะเหล่านี้มีความทนทานอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีความร้อนชื้น เช่น สภาพภูมิอากาศในประเทศเราได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ ควรระมัดระวังในการดูแลสัตว์เลี้ยงให้ปลอดจากพาหะ โดย
1. หมั่นตรวจว่าสัตว์ที่เลี้ยงไว้ มีเห็บ , หมัด ขึ้นตามตัวหรือไม่ และพยายามกำจัดออก โดยใช้หวีหรือแปรงสางออก แล้วทำลายเห็บ หมัด เหล่านั้นด้วยยากำจัดพยาธิภายนอกที่มีความเป็นพิษค่อนข้างต่ำ เช่น ยาในกลุ่ม pyrethroid, permethrin ถ้าสัตว์นั้นมีขนยาวหนา ก็ตัดออกบ้างให้สั้นและบางลง
2. ในกระต่ายจะมีไรในผิวหนังซึ่งจะทำให้เกิดผิวหนังอักเสบแดง ต้องตรวจโดยการขูดผิวหนังและนำไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ และไรในหูซึ่งมองเห็นได้เมื่อมีจำนวนมาก ทำให้เกิดเป็นก้อนขี้หูพอกขึ้นมา และสัตว์จะเกาหูอย่างรุนแรงเนื่องจากการระคายเคือง มียาหยอดซึ่งรักษาให้หายได้ สำหรับกรณีนี้ต้องนำสัตว์ไปหาสัตวแพทย์เพื่อตรวจรักษา
3. หมั่นทำความสะอาดตัวสัตว์อย่างสม่ำเสมอโดยการอาบน้ำหรือใช้ผ้าชุบน้ำสบู่/น้ำยาฆ่าเชื้ออย่างอ่อนเช็ดตัวสัตว์
4. เจ้าของสัตว์ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งภายหลังสัมผัสตัวสัตว์ โดยเฉพาะก่อนหยิบอาหารรับประทาน
5. สวมผ้าปิดปากและจมูก ขณะที่สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ หรือการผ่านเข้าไปยังบริเวณที่มีการเลี้ยงสัตว์ตระกูลนี้อยู่จำนวนมาก เพื่อป้องกันการหายใจเอาเชื้อเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคชนิดใด ให้ยึดหลัก ปลอดภัยไว้ก่อนกรณีสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสัตว์ตระกูลฟันแทะ ทั้งหลาย หากแสดงอาการป่วย เช่น มีไข้สูงติดต่อกันเกิน 2 วัน ควรนำไปหาสัตวแพทย์ และเล่าประวัติ อาการโดยละเอียด เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง โดยสัตว์อาจจะไม่ได้ป่วยด้วยโรคนี้ก็ได้ ที่สำคัญคือ สภาวะจิตใจของผู้เลี้ยงสัตว์ ควรเชื่อในข่าวสารจากแหล่งข้อมูลของหน่วยงานที่รับผิดชอบ และอย่าตื่นตระหนกจนนึกว่าลูกมะพร้าวกำลังจะหล่นใส่ กลายเป็นกระต่ายตื่นตูม_________________________________
ที่มาของภาพ :
เห็บ | http://www.dogbreedinfo.com, http://www.hpa.org.uk, http://www.hpa.org.uk |
ไร | http://www.wikipedia.org, http://www.mybunny.org, http://www.parasitolgy.org |
หนู | http://www.dkimages.com |
กระต่าย | htttp://another-today.blog.co.uk |
แฮมสเตอร์ | http://www.dailymail.co.uk |
หมัด | http://www.dkimages.com |
กระรอก | http:/www.webshots.com |
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กรมปศุสัตว์