โรคขาดสารอาหาร
ตามปกติผลผลิตที่แม่โคนมให้จะมีความสัมพันธ์กับปริมาณอาหารที่แม่โคได้รับ ถ้าแม่โคได้รับอาหารไม่พอเพียงตั้งแต่ระยะแห้งนมจนถึงระยะประมาณ 2 เดือนหลังคลอดจะเกิดผลตามมา 2 ประการใหญ่ๆ คือ
1. ผลต่อระบบสืบพันธุ์ โดยแม่โคจะกลับมาเป็นสัดหลังคลอดช้า เป็นสัดเงียบหรือไม่เป็นสัดรวมทั้งผสมติดยากมากขึ้น เพราะภาวะการขาดสารอาหารโดยเฉพาะพลังงานในระยะหลังคลอด จะทำให้ไม่มีฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองไปกระตุ้นการทำงานของรังไข่ เมื่อตรวจรังไข่จะพบว่ามีลักษณะลีบ เล็กและแบน (Inactive ovary)2. ปริมาณน้ำนมที่รีดได้จะมีปริมาณคงที่ได้ไม่นานแล้วจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาณน้ำนมรวมที่ได้ในระยะให้นม (Lactation) นั้นต่ำกว่าปกติ
จะสังเกตได้อย่างไรว่าแม่โคได้รับอาหารไม่พอเพียง วิธีง่ายๆ ก็คือ การให้คะแนนรูปร่างแม่โค (Body Condition Score (BCS) : ดีมาก = 5 ดี = 4 พอใช้ = 3 เลว = 2 เลวมาก = 1) ถ้าแม่โคผอมเห็นซี่โครงมาก และมีไขมันสะสมใต้ผิวหนังบริเวณโคนหางน้อย (BCS 1-2) แสดงว่าแม่โคขาดสารอาหารทำให้ต้องดึงไขมันที่สะสมไว้ใต้ผิวหนังมาเปลี่ยนเป็นพลังงานในการดำรงชีวิตและให้ผลผลิตทำให้แม่โคผอม
โดยปกติควรเตรียมตัวแม่โคให้มีคะแนนรูปร่างอยู่ระหว่าง 3.5-4.0 ในระยะดรายและควรจะลดลงมาไม่เกิน 1 หน่วย คือ 2.5-3.0 ในระยะ 60 วันหลังคลอดจึงจะทำให้แม่พ้นภาวะการขาดสารอาหารในระยะหลังคลอดได้ และทำให้แม่โคยังคงให้ผลผลิตได้ตามปกติ
เนื่องจากคุณภาพอาหารหยาบในประเทศเขตร้อนมักมีคุณภาพต่ำ (มีเยื่อใยสูงและโปรตีนต่ำ) และมักจะขาดแคลนไม่พอเพียงในช่วงฤดูแล้ง จึงต้องมีแผนในการปรับระดับการให้อาหารและยังคงให้ผลผลิตได้สม่ำเสมอแนวทางที่ควรพิจารณานำมาใช้มี 3 ประการ คือ
1. จัดฤดูกาลผสมพันธุ์ในโคนมให้แม่โคผสมพันธุ์ในช่วงฤดูหนาว และมาคลอดลูกในช่วงฤดูฝนซึ่งจะมีอาหารหยาบตามธรรมชาติเหลือเฟือเพื่อที่จะลดภาวะการขาดสารอาหารในระยะหลังคลอดได้2. ในช่วงฤดูแล้งควรเพิ่มปริมาณอาหารข้นให้มากขึ้น เพื่อชดเชยปริมาณอาหารหยาบซึ่งมีน้อยและคุณภาพก็ต่ำอีกด้วย โดยพยายามให้อาหารข้นหลายๆ ครั้งต่อวัน และควรให้อาหารข้นมากในช่วงของวันที่มีอากาศเย็น เช่น เช้ามืดหรือตอนกลางคืน จะช่วยทำให้แม่โคกินอาหารได้มากพอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย3. พยายามจำกัดขนาดฝูงโคนมให้อยู่ในจำนวนที่เกษตรกรจะเลี้ยงดูแลให้อาหารได้ทั่วถึงโดยวิธีการคัดโคนมที่ให้ผลผลิตต่ำออกประมาณปีละ 10-20 เปอร์เซนต์ของฝูง
เป้าหมายหลักของการเลี้ยงโคนมก็คือ แม่โคต้องมีลูกและให้น้ำนม ตามเกณฑ์มาตรฐานของการเลี้ยงโคนมในประเทศไทย แม่โคควรมีวันท้องว่างไม่เกิน 90 วัน ช่วงวันห่างลูกไม่เกิน 380 วัน แม่โคได้ลูกปีละตัว การที่เกษตรกรจะทำได้ตามเป้าหมายจึงต้องเน้นปัจจัยด้านอาหารเป็นหลัก เพราะถ้าแม่โคผสมติดช้าก็เท่ากับแม่โคตัวนั้นเสื่อมราคาลงไปเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับแม่โคที่ผสมติดให้ลูกทุกปี เพราะอายุการใช้งานของแม่โคนมมีจำกัด (ปกติไม่ควรเกิน 8 ปี) นอกจากนี้ถ้าแม่โคขาดอาหาร ผอมลงมาก ไม่สามารถจะรักษา BCS ให้อยู่ในระดับคงที่ได้ในระยะหลังคลอด ตัวอย่างเช่น BCS ขึ้นมาอยู่ระดับ 3.0 มาอยู่ที่ 1.0 การที่จะเพิ่มปริมาณอาหารเพื่อขุนให้แม่โคตัวนี้มี BCS ขึ้นมาอยู่ระดับ 3.0 เท่าเดิมอีก จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าอาหารถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับที่เราให้อาหารแก่แม่โคสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ เพื่อให้แม่โครักษา BCS ให้อยู่ในระดับ 3.0 และยังไม่นับว่าแม่โคที่รักษาระดับ BCS ให้คงที่หลังคลอดจะมีโอกาสผสมติดเร็วและง่ายกว่าแม่โคที่สูญเสีย BCS มากๆ ในระยะหลังคลอด
โดยสรุปแล้วปัจจัยด้านการให้อาหารแม่โคให้พอเพียงนั้นนับว่าเป็นข้อจำกัดพื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่จะส่งผลให้ผู้เลี้ยงได้รับผลตอบแทนจากการเลี้ยงโคนมได้คุ้มค่าหรือไม่เกษตรกรผู้เลี้ยงจึงต้องเน้นการจัดการและต้องให้อาหารเพื่อรักษา BCS แม่โคไม่ให้ลดลงมากเกินไปในระยะหลังคลอด โดยวิธีการและแนวทางต่างๆ ที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ซึ่งจะทำให้แม่โคให้ผลผลิตเต็มที่สม่ำเสมอตามศักยภาพการผลิตของแม่โคแต่ละตัวต่อไป
ที่มา
ทัศนีย์ ชมภูจันทร์, มนัสนันนท์ ประสิทธิรัตน์ และมนยา เอกทัตร์ (บรรณาธิการ). 2539. คู่มือการดูแลสุขภาพโคนม" สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ. ฟันนี่พับบลิชิ่ง.
ทัศนีย์ ชมภูจันทร์, สุรีย์ ธรรมศาสตร์, ปนันท์ ธนเจริญวัชร, จิรา คงครอง และเอกรินทร์ วัฒนพลาชัยกูร (บรรณาธิการ). 2539. คู่มือมาตรฐานการชันสูตรโรคสัตว์. สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ.โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กรมปศุสัตว์